รัฐรวมศูนย์ไปต่อยาก! “ปิยบุตร” ย้ำ 10 ข้อสำคัญชงแก้ รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น

รัฐรวมศูนย์ไปต่อยาก! “ปิยบุตร” ย้ำ 10 ข้อสำคัญชงแก้ รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น

“ปิยบุตร” ตอกย้ำ 10 ประเด็นสำคัญ ชงแก้ไข “รธน.” หมวด 14 “ปลดล็อกท้องถิ่น” คิกออฟรณรงค์ล่ารายชื่อ 1 เม.ย. ลั่นถ้ารัฐยังรวมศูนย์ ไทยไปต่อได้ยาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2565 ภายหลังคณะก้าวหน้า เปิดรณรงค์แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ถึง 10 ประเด็นสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ว่า ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา คณะก้าวหน้าได้ไปให้การสนับสนุนผู้สมัครท้องถิ่นในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เรื่องการเลือกตั้งเท่านั้น เราสนใจเรื่องแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้วย จึงเป็นที่มาของการเตรียมรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้สิทธิตามมาตรา 256 (1) บุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคนเข้าชื่อเสนอ โดยเราจะจัดการยกเลิกหมวด 14 เดิม และเขียนหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นมาใหม่ นำสิ่งดีๆ ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2560 มาใช้ รวมถึงเพิ่มบทบัญญัติใหม่ๆ เข้าไปด้วย มี 10 ประเด็นสำคัญ คือ

1.บัญญัติรับรองหลักความเป็นอิสระท้องถิ่น และหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของท้องถิ่น

2. บัญญัติเรื่องอำนาจหน้าที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ทั่วไปในการจัดทำบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น มีเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นที่ท้องถิ่นทำไม่ได้ เช่น เรื่องความมั่นคง เป็นต้น นอกนั้นแล้วทำได้ทั้งหมดหากเป็นการบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น เว้นแต่บางกรณีที่ท้องถิ่นมีศักยภาพไม่เพียงพอ สามารถร้องขอให้ส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาคเข้ามาช่วยได้

3.เรื่องความซ้ำซ้อน ทุกวันนี้มีกฎหมายจำนวนมากที่ให้ราชการส่วนกลางและภูมิภาคมีอำนาจในการจัดทำบริการสาธารณะแบบเดียวกับท้องถิ่น ทำให้ซ้ำซ้อนและมีปัญว่าใครมีอำนาจกันแน่

4. เรื่องแผนขั้นตอนการกระจายอำนาจที่บอกให้ถ่ายโอนอำนาจแต่ไม่มีสภาพบังคับจะไปจัดการเรื่องนี้ว่า ถ้าครบกำหนดแล้วยังไม่มีการถ่ายโอนให้ถือว่าเป็นอำนาจของท้องถิ่นเรียบร้อยตามรัฐธรรมนูญนี้

5.รับรองยืนยันว่าผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้งทุกกรณี

6.ออกกฎหมายเรื่องรายรับท้องถิ่น เสนอให้มีการเพิ่มรายได้ที่ท้องถิ่นหามาได้กับรายได้ที่ส่วนกลางได้รับเป็น ร้อยละ 50 ต่อ 50 ภายในสามปี

7. เพิ่มความยืดหยุ่น คล่องตัว ให้กับท้องถิ่นในการหารายได้ให้กับตัวเอง เพิ่มความยืดหยุ่น คล่อนตัว ในการคิดค้นวิธีการรูปแบบต่างๆ ในการจัดทำบริการสาธารณะ เช่น เรื่องรายได้ อย่างการกู้เงิน ออกพันธบัตร เรื่องการจัดทำบริการสาธารณะอย่าง การรวมตัวกับท้องถิ่นอื่นๆ การตั้งสหการ หรือการมอบอำนาจให้เอกชนทำแทนได้ในบางประเด็น

รัฐรวมศูนย์ไปต่อยาก! “ปิยบุตร” ย้ำ 10 ข้อสำคัญชงแก้ รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น

8.การกำกับดูแล ราชการส่วนกลางและภูมิภาคที่อ้างกำกับดูแล แต่แท้จริงแล้วเป็นการบังคับ การต้องขออนุญาตก่อน ต้องแก้ไขเพิ่มความเป็นอิสระให้ท้องถิ่นเรื่องนี้

9.สนับสนุนการมีส่วนร่วมของพลเมือง เช่น การตั้งสภาพลเมืองท้องถิ่น การเข้าชื่อถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นและสภาท้องถิ่น รวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดทำงบประมาณด้วย

10. วางโรดแม็ปประเทศไทยว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค โดยให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปทำแผนการว่าจะต้องทำอะไรบ้าง และภายใน 5 ปี ครม.ต้องจัดทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่า ต้องการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคหรือไม่

นายปิยบุตร ระบุอีกว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2564 กำหนดรายละเอียดไว้ว่า ร่างเสร็จแล้วยังไม่สามารถรณรงค์เข้าชื่อได้ทันที ต้องนำร่างนี้ พร้อมรายชื่อผู้เชิญชวนจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน ไปยื่นต่อประธานรัฐสภาเสียก่อน นี่เป็นวันแรกที่เราเปิดร่างนี้ขึ้นมา แล้วเตรียมนำรายชื่อผู้เชิญชวนไปยื่นต่อประธานรัฐสภา จากนั้นทางประธานรัฐสภาจะแจ้งกลับมา และเราจะเริ่มต้นรณรงค์เข้าชื่อกับพี่น้องประชาชน โดยในวันที่ 1 เมษายน 2565 นี้ ประชาชนจะเริ่มเข้าชื่อได้เป็นวันแรก ทั้งแบบออนไลน์และแบบเดินทางไปพบปะประชาชนทั่วทั้งประเทศ ภายใต้แคมเปญชื่อ "ขอคนละชื่อ ปลดล็อกท้องถิ่น" ซึ่งถ้าภารกิจนี้สำเร็จ จะทำให้การกระจายอำนาจเกิดขึ้นได้จริงเสียที

“เรารอมานานกว่า 3 ทศวรรษแล้ว ถ้าประเทศไทยไม่จัดการเรื่องปัญหาการกระจายอำนาจ ไม่ให้อิสระกับท้องถิ่น การบริหารรวมศูนย์แบบนี้ทำให้ประเทศไทยเดินไปอย่างยากลำบาก มีอุปสรรคนานับประการ และไม่สามารถสนองตอบข้อเรียกร้องประชาชนในพื้นที่ได้ การณรงค์ครั้งนี้จะเป็นการหาฉันทานุมัติจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นเรื่องประโยชน์ของการบริหารราชการแผ่นดิน ต่อประชาชน และต่อประเทศไทย” นายปิยบุตร ระบุ