“ชูศักดิ์”เปิดพ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับเพื่อไทย-ชงเบอร์เดียวทั้งประเทศ

“ชูศักดิ์”เปิดพ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับเพื่อไทย-ชงเบอร์เดียวทั้งประเทศ

“ชูศักดิ์”เปิดพ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับเพื่อไทย-ชงเบอร์เดียวทั้งประเทศ เปิดสูตรคำนวณปัดเศษพรรคเล็ก เพิ่มกก.ประจำหน่วยเลือกตั้งเป็น 7 คน แก้ข้อบัญญัติบุคคลภายนอกครอบงำ

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานด้านการเมือง รัฐธรรมนูญ ความเป็นประชาธิปไตยพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึง รายละเอียดร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .… และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... ฉบับของพรรคเพื่อไทย ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2565 ว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม โดยมีเป้าประสงค์ที่จะแก้ไขในส่วนที่บทบัญญัติเดิมมีความบกพร่องไม่สมบูรณ์ และเพิ่มในส่วนของสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชน มุ่งหมายในการคืนประชาธิปไตยให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่าที่จะทำได้ 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า  ร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.  ฉบับของพรรคเพื่อไทย มีสาระสำคัญดังนี้ 1. การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หลักทั่วไป คือเอาคะแนนรวมทั้งประเทศมาหารด้วย 100 คน เมื่อหารแล้วจะได้คะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จากนั้นก็เอาคะแนนรวมที่พรรคได้รับมาหารด้วยคะแนนเฉลี่ยต่อส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนในส่วนนี้ ก็จะได้ว่าพรรคนี้จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนเต็มเท่าไร เบื้องต้นก็จะคิดจากจำนวนเต็ม ส.ส. 100 คนก่อน หากได้ ส.ส.ครบ 100 ก็ถือว่าจบ 

“แต่ถ้าคำนวณออกมาแล้วได้ ส.ส.ไม่ครบ 100 คน เช่นคำนวณแต่ละพรรคแล้วได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมา 98 คน ขาดไปอีก 2 คน ก็จะไปคิดเศษจากพรรคการเมืองอื่นๆ เข้าใจง่ายๆ เศษที่เป็นจุดทศนิยม โดยพรรคเพื่อไทยเห็นว่าควรให้สิทธิแก่พรรคการเมืองที่ผลจากการคำนวณครั้งแรกไม่ถึงเกณฑ์ค่าเฉลี่ย เพื่อเปิดโอกาสให้กับพรรคการเมืองต่างๆ โดยหลักการนี้เคยใช้มาแล้วในการเลือกตั้งปี 2554 หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงนั้นเพียงแต่ในเวลานั้นพรรคที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำในรอบแรกจะถูกตัดออกไปเลย”
 

2. เรื่องสำคัญที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอ คือเรื่องของการให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหมายเลขเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีที่พรรคการเมืองนิยมและประชาชนชื่นชอบเพราะไม่สร้างความสับสนให้ประชาชนในการเลือกตั้ง แต่ปัญหาใหญ่ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ไม่ได้แก้ไขในมาตราที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิ มาตรา 90 ไม่ได้มีการแก้ไข ซึ่งเป็นการกำหนดให้ส่งผู้สมัคร ส.ส.เขตก่อนผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 

ซึ่งมีการตีความกันว่าต้องให้มีการสมัครแบบเขตก่อนถึงจะสมัครแบบบัญชีรายชื่อ ทำให้มีความกังวลกันอยู่ พรรคเพื่อไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถทำได้ คือ ให้มีการเปิดรับสมัคร ส.ส.เขต ก่อน แต่ยังจะไม่ได้รับหมายเลข จากนั้นจึงเปิดรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อในวันที่สอง ซึ่งจะมีการจับหมายเลขเลยในวันนั้น จะได้หมายเลขของพรรคการเมืองแล้วกำหนดให้การสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ จบก่อนการปิดรับสมัคร ส.ส. เขต กำหนดให้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ไม่น้อยกว่าสามวัน วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะสามารถจดจำเบอร์พรรคและเบอร์ผู้สมัครที่ตัวเองชื่นชอบได้ง่าย

3. อีกทั้งยังได้เสนอให้มีการแก้ไขรายละเอียดในประเด็นอื่นๆ เช่น การเพิ่มกรรมการประจำหน่วยจาก 5 คนเป็น 7 คน เนื่องจากมีการเพิ่มเขตเลือกตั้ง การแบ่งเขตการเลือกตั้งที่นอกจากต้องเป็นเขตติดต่อกันแล้วต้องให้ประชากรของทุกๆ เขตแตกต่างกันไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ และแก้ไขเรื่องระยะเวลาต่างๆ เพื่อความสะดวกของพี่น้องประชาชน 
 

สำหรับ ‘ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง’ พรรคเพื่อไทยได้เสนอแก้ไขหลายมาตรา หลังจากได้พิจารณาตั้งแต่มาตราแรกจนมาตราสุดท้ายแล้วเห็นว่านอกจากมาตราที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ก็ควรเสนอแก้ไขมาตราอื่นๆ เพิ่ม เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยและเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองและประชาชนมากขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่เสนอให้มีการแก้ไขดังนี้ 

1. ยกเลิกการเก็บค่าบำรุงพรรคการเมือง เนื่องจากสร้างความยุ่งยากและข้อจำกัดให้ประชาชนพอสมควร รวมทั้งสร้างปัญหาแก่พรรคการเมืองหลายประการ โดยเฉพาะการเสียค่าบำรุงเป็นรายปี การไม่ชำระค่าบำรุงสองปีติดต่อกันทำให้ขาดจากสมาชิก แต่ถ้าพรรคการเมืองใดเห็นสมควรจะเรียกเก็บก็ให้กำหนดในข้อบังคับพรรค

2. ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ จึงมีการเสนอให้ยกเลิกการกำหนดคุณสมบัติความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเทียบเท่ากับคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. เพราะการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองควรเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นสิทธิทางการเมืองและเป็นสิทธิพลเมืองที่สำคัญของประชาชน จึงแก้ไขให้ความเป็นสมาชิกพรรคแตกต่างจากคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมากขึ้น   

3. การเสนอให้มีแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดกรณีการยินยอมให้บุคคลภายนอกครอบงำ ควบคุมสั่งการทำให้พรรคการเมืองขาดความเป็นอิสระ ที่ถือเป็นความผิดถึงขั้นยุบพรรค พรรคเพื่อไทยเห็นว่า 
.
3.1 อะไรคือการครอบงำ ควบคุมและสั่งการจะต้องมีความชัดเจน อีกทั้งกฎหมายในข้อนี้ยังเขียนต่อไปด้วยว่า ‘ต้องทำให้พรรคการเมืองนั้นขาดความเป็นอิสระ’ พอเขียนเช่นนี้ก็มีการตีความกันวุ่นวายไปหมด ดังนั้นจะต้องทำความกระจ่างในเรื่องนี้ จึงคิดว่าสังคมการเมืองการขอคำปรึกษาหารือกับบุคคลต่างๆ ควรเป็นเรื่องปกติ 

3.2 เรายืนยันหลักการว่า การพูดจาทำความเข้าใจให้คำปรึกษา คำแนะนำ แต่พรรคยังเป็นอิสระในการทำหน้าที่หรือตัดสินใจ เรื่องนั้นไม่ควรเป็นการครอบงำ ควบคุม สั่งการ จึงมีการเพิ่มข้อความในบทบัญญัตินี้เป็นวรรคสองว่า “การให้คำปรึกษา การให้คำแนะนำใดๆ ก็ตาม ไม่ถือเป็นการครอบงำ ควบคุม สั่งการ ถ้าการให้คำปรึกษานั้นเป็นเพียงการเสนอแนะ ทำความเข้าใจ โดยที่อำนาจการตัดสินใจยังคงอยู่กับพรรค” 

3.3 ต้องย้ำว่าไม่ได้มีการตัดบทบัญญัติเดิมแต่อย่างใด เพียงแต่เพิ่มข้อความให้เกิดความกระจ่าง  มีความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและให้มีความเป็นธรรมมากที่สุด เพื่อไม่ให้มีการใช้กฎหมายมาตรานี้ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

4. สำหรับการจัดทำไพรมารีรับฟังความเห็นประชาชนในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยที่จะจัดทำเพราะแสดงถึงการมีส่วนร่วมของสมาชิก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการส่งผู้สมัคร แต่ที่ผ่านมาในการปฏิบัติยังเกิดความขัดแย้งกับความเป็นจริงการให้สมาชิกเพียง 50 คนมาลงคะแนนไม่น่าจะเรียกได้ถนัดนักว่าเป็นไพรมารี หลักการควรใช้เขตจังหวัดเป็นเขตรับฟังความคิดเห็น เพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวและเป็นรูปธรรมว่ามีการไพรมารีรับฟังความเห็นประชาชนอย่างแท้จริง 

5. ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำนโยบายต้องแสดงที่มาของรายได้ ความคุ้มค่า ความเสี่ยง เพราะไม่มีผลเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ เห็นได้จากการเสนอนโยบายของพรรคการเมืองที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้จริง จึงให้เป็นความรับผิดชอบของพรรคการเมืองในการนำเสนอและเป็นวิจารณญาณของพี่น้องประชาชน ในการตรวจสอบ 
 
6. กำหนดให้การเลิกพรรคการเมืองจะต้องผ่านที่ประชุมใหญ่โดยคะแนนเอกฉันท์ การยุบพรรคการเมือง มีความเหมาะสมไม่ยุบกันได้ง่ายๆ การยุบพรรคการเมืองต้องเป็นกรณีที่สำคัญจริงๆ  ไม่ใช้การเลิกหรือการยุบพรรคเช่นเฉพาะการล้มล้างการปกครองและต้องมีพยานหลักฐานเป็นประจักษ์ ไม่ใช้การเลิกหรือยุบพรรคเป็นประโยชน์หรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบที่เป็นอยู่

โดยที่ผ่านมาพรรคการเมืองลงเลือกตั้งมาแล้วและได้เป็น ส.ส. แต่วันดีคืนดีมาเลิกพรรคเพื่อย้ายไปอยู่พรรคอื่น ซึ่งเท่ากับพูดปดกับพี่น้องประชาชน จึงเสนอว่าถ้าจะมีการทำอย่างนี้ก็จะต้องผ่านที่ประชุมใหญ่ ที่จะต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มีมติคณะกรรมการบริหารพรรคเลิกพรรคการเมืองเลย ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับการทรยศประชาชน