บทเรียน สูญเสีย "จ่าเพียร"  บทสะท้อน "ปวีณ" ต้องลี้ภัย

บทเรียน สูญเสีย "จ่าเพียร"   บทสะท้อน "ปวีณ" ต้องลี้ภัย

หาก "พล.ต.ต.ปวีณ" มือปราบขบวนการค้ามนุษย์ ยุค คสช. ไม่ตัดสินใจลาออกขอลี้ภัยไปต่างประเทศ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าจะมีจุดจบไม่ต่างกับ "จ่าเพียร" มือปราบแห่งเทือกเขาบูโด หรือไม่

จากผลพวงการอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมติของ โรม รังสิมันต์ ส.ส.พรรคก้าวไกล คดี “ค้ามนุษย์โรฮิงญา” ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2558 ยุค คสช. หลัง “ไทย” ถูก “สหรัฐ”ปรับลดอันดับค้ามนุษย์เป็น “เทียร์ 3 ” จึงเป็นที่มานโยบายกวาดล้าง “ขบวนการค้ามนุษย์”ที่ โยงใยไปถึง นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และระดับประเทศ

ขณะนั้น “พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าทีมออกปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ หลังตำรวจบุกทลาย “แคมป์” ขนาดใหญ่บรรจุคนได้ 1,000 คน บนเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ชายแดนไทย-มาเลเซีย พร้อมพบหลุมฝังศพจำนวนมาก

ตลอดระยะเวลาที่ทำคดีนี้ “พล.ต.ต.ปวีณ” ได้พบอุปสรรคมากมาย ถูกข่มขู่ ไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง การใช้เส้นสายวิ่งเต้น เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกออกหมายจับ ล้วนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการระดับสูง ทหาร ตำรวจ และพลเรือน

โดยหนึ่งในนั้นมี “บิ๊กทหาร” พล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ที่มีการตรวจพบเส้นทางการเงินจาก “ขบวนการค้ามนุษย์” เข้าบัญชีธนาคาร นับ 100 ครั้ง รวมกว่า 14 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

ขณะที่ “พล.ต.ต.ปวีณ” ถูกย้ายไปรักษาราชการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่กังวลถึงความปลอดภัย เนื่องจากเป็นพื้นที่เกิดเหตุ อาจตกเป็นเป้าหมาย ของผู้เสียประโยชน์ ผู้เกี่ยวข้อง และ “บิ๊กทหาร” ที่สาวไม่ถึงเนื่องจากผลการสืบสวนจบที่ “พล.ท.มนัส”

จึงเป็นที่มาของการ ทำหนังสือขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทบทวนคำสั่งย้ายดังกล่าว แต่ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจลาออกเมื่อ 5 พ.ย.2558 ก่อนจะตัดสินใจลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย

ทั้งนี้ ในการอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมติ" เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "โรม รังสิมันต์" ได้นำเอกสารที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุให้ “พล.ต.ต.ปวีณ” ขอลี้ภัยไปต่างประเทศ คือ ใบสมัครหน่วยพิเศษระดับสูง ให้ไปอยู่ในสกัด หลังได้ยื่นใบลาออกเมื่อ 5 พ.ย.2558 รวมถึงเอกสารการขอลี้ภัย ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความไม่ปลอดภัย 17 หน้า

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า พล.ต.ต.ปวีณ มีคดีอะไรบ้าง หากบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้เข้ามาคุยตามช่องทางที่ถูกต้อง รวมถึงเรื่องความปลอดภัย พล.ต.ต.ปวีณ ออกไปเอง ไม่มีใครจะทำอะไรได้ เพราะบ้านเมืองมีกฎหมายอยู่ พูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ทุกคนเวลาไปก็ไปเอง สมัครใจไป แต่จะกลับมาบอกไม่ปลอดภัย

“ยืนยันว่า ไม่ได้ปกป้องใคร และที่ พล.ต.ต.ปวีณ บอกว่ามีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง พล.ท.มนัส ขอให้เปิดชื่อมา หากไม่เปิดสามารถอ้างได้ ขอเอาหลักฐานมา จะฟ้องร้องใคร ก็ฟ้องร้องไปให้กระบวนการตัดสินใจ หากฟ้องแล้วไม่ใช่ ก็ฟ้องกลับ ต้องอยู่กันด้วยกฎหมายไม่ใช่พูดกันไปมา”

แม้ประเด็นดังกล่าวยังต้องอาศัย “ข้อมูล-หลักฐาน” อ้างอิงคำกล่าวอ้างของ“พล.ต.ต.ปวีณ” แต่ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว ในยุค รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณี “จ่าเพียร”พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

“จ่าเพียร”เจ้าของฉายามือปราบแห่งเทือกเขาบูโด หลังผ่านสมรภูมิรบ กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบโชกโชน วิสามัญคนร้ายนับร้อยศพ นอกจากเป็นที่กลายขวัญแล้ว ยังเป็นเป้าหมายของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่เช่นกัน

ในปี 2519 “จ่าเพียร” ถูกกับระเบิดที่ขาซ้ายจนเกือบขาด ขณะต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่ก็เอาชีวิตรอดมาได้

ต่อมาในปี 2526 ถูกคนร้ายยิงในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จนได้รับบาดเจ็บกระสุนฝังใน ก่อนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดี และเหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร เนื่องจากเป็นตำรวจฝีมือเยี่ยม

จากนั้น “จ่าเพียร” ได้เข้าอบรมหลักสูตร นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และได้เลื่อนขั้นเป็น ร.ต.ต. ก่อนจะย้ายให้ไปประจำการอยู่ที่ จ.สงขลา

ในปี 2550 “จ่าเพียร” ถูกเรียกตัวกลับมาเป็น ผกก.สภ.บันนังสตา เพื่อปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่ก่อเหตุรายวัน และปี 2553 ได้ถูกคนร้ายลอบวางระเบิด แต่บาดเจ็บเล็กน้อย จนเป็นเหตุให้ครอบครัวของ “จ่าเพียร” เกิดวิตกกังวล ถึงความปลอดภัยต่อชีวิต 

จนเป็นที่มาเดินทางมา ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม จากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง เพื่อขอย้ายไปเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณฯ แต่ไม่ได้รับพิจารณา เมื่อ 23 ก.พ. 2553

เพียงไม่ถึงเดือน “จ่าเพียร” เสียชีวิต หลังถูกคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 5-8 คน ลอบวางระเบิด รถกระบะ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา พร้อมลูกน้อง 3 นาย และ อส.คนสนิท อีก 1 นาย ส่งผลให้ ขาหักทั้งสองข้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ในที่สุด อายุ 59 ปี เมื่อ 12 มีนาคม 2553

จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า หาก “พล.ต.ต.ปวีณ” ไม่ลาออก และขอลี้ภัยไปต่างประเทศ อาจมีจุดจบไม่ต่างกับ “จ่าเพียร” หรือไม่