4 พรรคประจัญ "ศึกหลักสี่" จับทาง-วางเกม สนามใหญ่

4 พรรคประจัญ "ศึกหลักสี่"  จับทาง-วางเกม สนามใหญ่

การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกหลายฝ่ายมองว่าไม่ใช่แค่ “เลือกตั้งซ่อม” แต่เป็นการ “ชี้ทิศทาง” การเมืองภาพใหญ่จริงหรือไม่

อีกไม่ถึง 3 สัปดาห์จะมีการ “เลือกตั้งซ่อม” ส.ส.กทม.เขต 9 (หลักสี่-จตุจักรบางส่วน) โดยมีพรรคการเมืองส่ง “ตัวแทน” ลงชิงชัยสมรภูมินี้ถึง 8 พรรค ล่าสุด รายการ “สุดกับหมาแก่” เนชั่นทีวี 22 โดย นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ เชิญผู้สมัครรับเลือกตั้งจาก 4 พรรคการเมืองมาร่วม “ดีเบต” แลกหมัดความคิดเรื่องนโยบาย และการแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนชาว “หลักสี่-จตุจักร”

ไล่เรียงมาตั้งแต่นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ จาก “พรรคไทยภักดี” เบอร์ 1 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี จาก “พรรคกล้า” เบอร์ 2 นายสุรชาติ เทียนทอง จาก “พรรคเพื่อไทย” เบอร์ 3 และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ หรือ “เพชร กรุณพล” จาก “พรรคก้าวไกล” เบอร์ 6 ทั้งนี้ทางรายการได้เชิญนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ หรือ “มาดามหลี” ผู้สมัครจาก “พรรคพลังประชารัฐ” มาดีเบตด้วย แต่เนื่องจากติดภารกิจอื่น ๆ จึงไม่สามารถมาได้

การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกหลายฝ่ายมองว่าไม่ใช่แค่ “เลือกตั้งซ่อม” แต่เป็นการ “ชี้ทิศทาง” การเมืองภาพใหญ่จริงหรือไม่ คำตอบอยู่ในบรรทัดถัดไป

เปิดฉากด้วย “อรรถวิชช์” กล่าวถึงปัจจัยชี้ขาดถึงผลการเลือกตั้งว่า พรรคกล้านำเสนอเรื่องการเมืองสร้างสรรค์ การเมืองคุณภาพ เราไม่เชื่อว่ารักสงบจบที่ลุง หรือจบที่รุ่นเรา พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เรานึกถึงงานที่ค้างมากว่า เพราะ 7 ปีไม่มี ส.ก.ดูแลเลย ส.ส. เดิมในพื้นที่ส่วนมากไปเล่นเรื่องภาพใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่อยากทำที่สุดในช่วง 1 ปีนี้คือ ระบบระบายน้ำ เนื่องจากพื้นที่ในเขตหลักสี่ และบางส่วนของจตุจักร เป็นพื้นที่อ่อนไหวด้านน้ำท่วม

ส่วน “พันธุ์เทพ” เน้นชูจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคไทยภักดี คือ แก้ไขเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม และเศรษฐกิจ รวมถึงแก้ไขการเข้าไม่ถึงอำนาจรัฐ และโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญคือการปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเข้าไปปราบโกง ไม่ใช่แค่ปราบอย่างเดียว เราทำงานตรวจสอบเยอะ อีกเรื่องคือ มีขุนพลมาใหม่ ชัดเจน ถ้ามีผู้นำแข็งแรงของพรรค จะนำการปราบโกงได้แน่นอน

“เพชร กรุณพล” เน้นว่า ปัจจัยหลักคือการ “กดทับ” ของประชาชนนับตั้งแต่ คสช.รัฐประหารเมื่อปี 2557 รวมถึงปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่จบ ทำให้ประชาชนเกิดบาดแผลความเครียดทั้งกายและใจ ดังนั้นประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่หลักสี่ แต่ทั้งประเทศ ที่สำคัญพรรคและนักการเมืองที่ตอบโจทย์ได้จะต้องไม่ใช่ศัพท์วิชาการ ศัพท์กฎหมาย คำพูดสวยหรู แต่ต้องเป็นคนจริงใจ จับต้องได้

ด้าน “สุรชาติ” ยอมรับว่า ความนิยมของพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) และการเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะมีในช่วงปี 2565 รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา จะสะท้อนออกมาได้จำนวนหนึ่ง

ส่วนประเด็นพรรคเพื่อไทย กังวลประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนถูกพรรคอนาคตใหม่ตัดคะแนนเมื่อปี 2562 หรือไม่นั้น “สุรชาติ” ออกตัวว่าไม่ได้มองในมุมดังกล่าว แต่การที่ทุกพรรคส่งผู้สมัครมีคุณภาพลงสมัคร ถือว่าเป็นเกียรติกับตัวเอง และเป็นการให้เกียรติกับประชาชน เป็นสิทธิอันชอบธรรมของพรรค และเป็นสิทธิชอบธรรมของประชาชนมีตัวเลือกที่ดี ดีใจว่ามีหลายพรรคให้ความสนใจกับสนามนี้

“สุรชาติ” ตอบคำถามว่าถ้าหากสุดท้ายแพ้การเลือกตั้ง จะถอดรหัสออกมาอย่างไรว่า เป็นตัวเองที่แพ้ หรือว่าพรรคเพื่อไทยแพ้ ว่า ที่แพ้คราวที่แล้ว เชื่อว่าไม่ได้แพ้เพราะประชาชนของตน แต่การพ่ายแพ้คราวที่แล้ว มันแพ้จากอะไรที่ไม่ใช่ประชาชน และความเชื่อของพี่น้องในเขตเลือกตั้งเยอะมาก ขอละไว้ แต่ถามว่าถ้าแพ้อีก ผมไม่มีอะไรที่จะเสีย เรียนเลยว่าได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดแล้ว ครั้งนี้เป็นการตัดสินอนาคตถ้าชนะกลับเข้าไป ได้รับการยอมรับในความเป็นผู้แทนฯแท้จริง รับฟังปัญหาทุกกลุ่ม

ส่วนคำถามสำคัญว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร” บุตรสาว “ทักษิณ” เป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย “สุรชาติ” ยอมรับตามตรงว่า ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า “ทักษิณ” คือสัญลักษณ์ของพรรคตั้งแต่ “ไทยรักไทย” ส่วน “อุ๊งอิ๊ง” เป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่มีความตั้งใจทำให้บ้านเมือง หากเขานำแนวคิดของคุณพ่อมาใช้เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองคิดว่าไม่แปลกอะไร แต่ “พรรคเพื่อไทย” ประกอบด้วยบุคลากรหลากหลาย ไม่ได้ยึดติดกับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ขับเคลื่อนด้วยนโยบายต่าง ๆ นำความสำเร็จในอดีตมาต่อยอด อยากให้ประชาชนโฟกัสไปที่ผลงานของพรรค

ขณะที่พรรคก้าวไกลที่ผ่านมาถูกวิจารณ์ว่าไม่ยึดโยงกับพื้นที่ จะเอาอะไรไปสู้พรรคอื่น “เพชร กรุณพล” ยืนยันว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดมาตลอด เพราะพรรคก้าวไกลลงพื้นที่เสมอ มีแฟนคลับ และมีอาสาสมัคร รวมถึงว่าที่ ส.ก. ทำงานในชุมชนมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19

ส่วนที่บอกว่า ณ วันนั้นกระแสของนายธนาธร ณ วันนี้ที่ผมสังกัดคือก้าวไกล ไม่ใช่อนาคตใหม่ คุณธนาธรวางรากฐานให้กับพวกเรา เมื่อคุณธนาธรไม่ได้ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง อนาคตใหม่กลายร่างเป็นก้าวไกล อุดมการณ์เติบโตเช่นเดิม กรรมการบริหารพรรค คุณทิม พิธา (ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค) รวมถึงผม เราต้องการรัฐสวัสดิการ นำทรัพยากรรัฐมาบริหารจัดการให้ประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด ผมเป็นตัวแทนลงมาผลักดันเรื่องนี้ในเขต 9 กทม. ยกระดับชีวิตผู้คน ทั้งบ้านมีรั้ว และบ้านไม่มีรั้วให้แตกต่างทางรายได้ให้ใกล้เคียงมากขึ้น ไม่ใช่ช่องว่างห่างกันขนาดนี้”

ขณะที่บริบททางการเมืองในปี 2562 เป็นขาขึ้นของ “ลุงตู่” แต่พรรคอนาคตใหม่ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นพรรคก้าวไกล “โนเนม” ยังได้มาตั้ง 2.5 หมื่นคะแนน ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ แปลว่าชาวบ้านไม่เอาแนวทางของพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ “เพชร กรุณพล” ตอบว่า มีหลายบริบท ที่คะแนนจะมากหรือน้อยกว่านั้น คือการออกมาใช้สิทธิ์ของประชาชน อีกปัจจัยหนึ่งคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งใหม่ ตอนพรรคอนาคตใหม่คนไม่รู้จัก แต่เลือกเพราะต้องการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เป็นพรรคก้าวไกล ถูกรังแก ทิ่มแทงสารพัด แต่กลับว่าเกิดมาอย่างเข้มแข็ง อุดมการณ์มั่นคง จึงมั่นใจว่าคะแนนที่ได้จะบ่งบอกว่า สิ่งที่ทำมาตลอดหลายปี ตั้งแต่อนาคตใหม่มาก้าวไกล มันถูกหรือผิด มาจากคะแนนของประชาชน

กลับมาที่ “พรรคกล้า” ส่งระดับ “เลขาธิการพรรค” มาลง เป็นการเดิมพันสูงเกินไปหรือไม่ หากแพ้เยอะจะทำให้ “พ่อยกแม่ยก” วิเคราะห์โหงวเฮ้งพรรคนี้ใหม่ไหม “อรรถวิชช์” ยอมรับตามตรงว่าเป็นการเดิมพันที่สูงมาก และชัยชนะคราวนี้ มีความสำคัญกับพรรคกล้ามากที่สุด เพราะกำลังทดสอบว่าการเมืองสร้างสรรค์ทำได้หรือไม่ ใช้เวลาเกือบ 2 ปี จึงคุยกันทั้งพรรคว่า เสี่ยงกันหน่อยไหมว่า การเมืองสร้างสรรค์ การเมืองคุณภาพ และไม่เป็นกลางด้วย จะไปด้วยกันไหวหรือไม่ แต่มั่นใจว่า ทำงานการเมืองมา 17 ปี เป็น ส.ส. ตั้งแต่อายุ 29 ตอนอยู่ตำแหน่ง 7-8 ปี เข้าใจคน กทม. แต่จะเข้าใจถูกหรือไม่ ต้องวัดว่า เขาโหยหาการเมืองคุณภาพ สร้างสรรค์ และอยากได้ตัวคนใหม่ ๆ ได้หรือไม่

มาถึงคำถามบีบหัวใจถ้าคราวนี้ “พรรคกล้า” แพ้เยอะ “เอ๋ อรรถวิชช์” ในฐานะเลขาฯพรรค จะวางมือทางการเมืองเลยหรือไม่ เจ้าตัวยอมรับว่า เป็นการเดิมพันสูง และสูงสุดในบรรดาผู้สมัครทุกคน เพราะมาทำพรรค เปิดมาเกือบ 2 ปี ตั้งใจทำการเมืองคุณภาพ การเมืองสร้างสรรค์ บรรยากาศแตกแยก 2 ฝั่ง แต่เราไปเจอนักธุรกิจกลุ่มไหนก็แล้วแต่ อยากเห็นประเทศทันสมัย การทำงานแบบบูรณาการ อยากเห็นนักการเมืองคุณภาพ โหลดมาในพรรคเต็มไปหมด แต่เขาไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ เราก็ต้องเสี่ยง ไม่เสี่ยงไม่รู้ คราวนี้มั่นใจแค่ไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปดูตอนตัดสินใจ นั่งคุยกับนายกรณ์บอกว่า ลงเอาดีกว่า นายกรณ์ถามแน่ใจนะ ตนบอกว่าแน่ ไม่วัดไม่รู้ เราเดินแนวทางนี้ ตัดสินใจแล้ว คุณภาพสร้างสรรค์มันไปได้ ก็ต้องลุย

เกมนี้ยังไงก็ต้องสู้ ไฟต์บังคับ ทำขนาดนี้แล้วสอบไม่ได้ ต้องประเมินตัวเองว่า การเมืองสร้างสรรค์คุณภาพใช่หรือไม่ ต้องถามตัวเอง ถามหมดแล้วทั้งพรรค พรรคกล้าบอกว่าต้องวัด ไม่มีกลัว” อรรถวิชช์ ยืนยัน

ส่วนเรื่องข้อครหาว่าเป็นพรรค “ตรงกลาง” จะไปรอดหรือไม่ “อรรถวิชช์” ระบุชัดเจนว่า พรรคกล้าไม่ได้เป็นกลาง เพราะเส้นพวกนี้ไม่รู้ใครขีด พรรคกล้ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รวมถึงอยู่ซีกประชาธิปไตยด้วย

“สมัยนี้จับแยกกันอยู่เรื่อย ผมไม่อยู่ในเส้นขีดเส้นนี้ การเลือกตั้งด้วยความเกลียดกลัว จะนำไปสู่การเจริญรุ่งเรืองได้ รักษาสงบจบที่ลุงไม่จริง จับปากกาฆ่าเผด็จการไม่จริง ให้มันจบที่รุ่นเราไม่จริง ผมเชื่อทฤษฎีปฏิบัตินิยม ถ้าเรื่องไหนปฏิบัติได้ มันควรปฏิบัติเอาตรงนั้น ไม่ซ้ายไม่ขวาไม่กลาง สถาบันฯปกป้องสุดชีวิต แต่จะให้มาแบบว่า ทุกอย่างต้องรู้ว่าน้อง ๆ รุ่นใหม่อนาคตของชาติ โครงสร้างหลักอยู่ได้ต้องดูเด็กด้วย อะไรอธิบายเด็กได้ว่าสถาบันฯเป็นอย่างไร” อรรถวิชช์ ระบุ

ส่วน “พรรคไทยภักดี” ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นพวก “ขวาสุดโต่ง” สนับสนุนรัฐบาลภายใต้อิทธิพลทหาร “พันธุ์เทพ” แก้ข้อครหานี้ว่า กล้าพูดว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องสามารถตรวจสอบได้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 และการเลือกตั้งปี 2562 การเมืองเปลี่ยนไปเยอะ จะบอกว่ารัฐบาลนี้สืบทอดอะไรมาก็แล้วแต่ แต่มาจากการเลือกตั้ง เราได้เดินข้ามมาแล้ว ยืนยันต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้อุดมกาณ์หลักคือปราบโกงชัดที่สุด

นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อครหาว่าพรรคไทยภักดีส่งเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพราะต้องการแค่เปิดตัวพรรค และวัดหัวใจพ่อยกแม่ยกบางกลุ่มเท่านั้น “พันธุ์เทพ” ยืนยันว่า พรรคไม่ได้ส่งมาชิมลาง แต่ส่งเพื่อชนะ และต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีกระแสเรียกร้องให้พรรคส่งผู้สมัคร ในพรรคจึงตัดสินใจส่งตนลง แม้จะบอกว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่จะเข้าไปตรวจสอบรัฐบาลด้วย

กลับมาที่คำถามสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาบริหารประเทศหากนับตั้งแต่ คสช.เป็นเวลาเกือบ 8 ปีแล้ว สมควร “ปิดสวิตช์” ตัวเองแล้วหรือไม่ เริ่มด้วย “พันธุ์เทพ” เปิดเผยว่า เคยได้ยินหัวหน้าพรรค (นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม) พูดเสมอทั้งทางลับทางแจ้งว่า พร้อมรับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าพรรคอยู่กับฝั่งความถูกต้อง อะไรเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดต้องอยู่ตรงนั้น กระแสเป็นตัวชี้วัดว่าไหวหรือไม่ แต่สิ่งที่พรรคไทยภักดีต้องการสื่อสารมันต่างไป การเข้าไปแม้แต่จะซักวันเดียวในสภา หรือครบเทอมของรัฐบาล มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วว่า ประเทศนี้ยังมีความหวังว่า การโกง การทุจริตเราจะเป็นกระบอกเสียงให้เอง เราไม่เว้น ใครเข้าไปโกง ขอให้ประชาชนตัดสิน

ส่วน “อรรถวิชช์” มองว่า เพื่อความยุติธรรมต้องบอกก่อนว่า การเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการรัฐประหารไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง แต่ตอนเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ชนะมาจริง ๆ และไม่คิดว่าจะชนะอย่างท่วมท้น และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะสูญพันธุ์ใน กทม. ต้องยอมรับว่า พปชร.เสียงในสภาถึงครึ่ง จับขั้วจัดตั้งรัฐบาลได้ ไปได้ แต่โครงสร้างวันนั้น กับวันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้อดี พล.อ.ประยุทธ์ คือด้านความมั่นคง แต่ด้านเศรษฐกิจไม่ไหว ดังนั้นต้องทำอย่างไรให้ระบบราชการไม่ล้าหลัง

คนเคยดี ณ เวลาหนึ่ง ก็ดี ณ เวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน การเลือกคนที่เหมาะสมกับเหตุการณ์สำคัญ คิดว่าเป้าหมายหน้าของเราคือวิกฤติเศรษฐกิจ นำประเทศนำสมัยมากขึ้น หลอมรวมน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้ได้ ประเทศไม่ว่ารุ่นใหญ่ กลาง เล็ก ไม่อยากให้มีปัญหาแต่ละรุ่น” อรรถวิชช์ กล่าว

ด้าน “เพชร กรุณพล” พูดเสียงดังฟังชัดว่า “ควรปิดตั้งนานแล้ว” พร้อมอธิบายว่า ควรปิดตั้งแต่ตอนเป็น คสช.ด้วยซ้ำ เพราะวันนี้เกือบ 8 ปีแล้ว แต่กลับใช้แค่มาตรา 44 (ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557) แก้ไขปัญหา เอาเงินภาษีประชาชนไปชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด แถมออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง สามัญสำนึกคนทั่วไปรับรู้ได้ว่ามันถูกต้องหรือไม่

“เราต้องรู้ตัว ต่อให้อยู่ไม่ถึง 8 ปี แต่ความสามารถที่เรามี หน้าที่การงานรับผิดชอบเหมาะสมกันหรือไม่ คุณบอกว่าบริหารประเทศง่าย ๆ บริหารกองทัพ ถ้าเขาไม่ทำตามคุณสั่งขัง สั่งลงโทษ แต่ประเทศชาติถ้าเขาไม่ทำตามคุณ สิ่งที่คุณออกแบบ มันไม่เหมาะกับประชาชน แต่คุณไม่รับฟัง พอไม่ได้ก็โวยวาย” เพชร กรุณพล กล่าว

ไม่ต่างกับ “สุรชาติ” ที่ชี้ว่า “ลุงตู่” คือเงื่อนไขของปัญหาทั้งหมด เพราะตอนเลือกตั้งปี 2562 แทนที่จะคลายล็อกสังคม กลับเป็นจุดล็อกสังคมให้ขัดแย้งเข้าไปใหญ่ แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีปัญหา มองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่มีปัญหากับสิ่งรายล้อม มีปัญหากับระบอบของท่านทั้งหมดที่ทำให้ประเทศตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้าเสียที

ทั้งหมดคือ “ทัศนะ” ของ 4 ผู้สมัครชิง “เลือกตั้งซ่อม” ส.ส.กทม.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ ที่อาจเป็นกระแส “ชี้วัด” ทิศทางการเมืองทั้งสนาม “ผู้ว่าฯ กทม.” รวมถึง “เลือกตั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นในปี 2565 ด้วย