"พท."ค้านเก็บ "ภาษีคริปโตฯ" แนะ "รัฐบาล" ใช้เงินกู้ ให้เกิดประโยชน์ ฟื้นศก.

"พท."ค้านเก็บ "ภาษีคริปโตฯ" แนะ "รัฐบาล" ใช้เงินกู้ ให้เกิดประโยชน์ ฟื้นศก.

"จักรพงษ์" ชี้ เก็บภาษี คริปโตฯ รัฐบาล กำลังสร้างความแตกตื่น เป็นอุปสรรครายย่อย ไร้ระบบแน่ชัด ไม่รอบคอบ ระบุ หากเงื่อนไขยุ่งยาก ต้นทุนสูง ไม่เอื้อการลงทุน ย้ำ ต้องสร้างบรรยากาศ ให้ขยายตัวมากขึ้น แนะ ใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์

นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย และอดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่กรมสรรพากรประกาศจะเก็บภาษีคริปโตฯ ว่า การกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีคริปโตฯ ด้วยการหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 ของกำไร และบุคคลที่มีเงินได้จากการซื้อ-ขายคริปโตนั้นจะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย รัฐบาลกำลังทำให้เกิดความสับสนและแตกตื่นในตลาดการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นการคิดคำณวนในการจัดเก็บภาษี  เพราะบุคคลธรรมดารายใดก็ตามที่ได้รับผลประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัล ในรูปแบบใดก็ตามจะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การพัฒนาตลาดการเงินที่เป็นความหวังในการหารายได้ของคนหลายล้านคนในประเทศไทยจำเป็นต้องให้ระยะเวลาในการบ่มเพาะความรู้ นักลงทุนทั้งรายย่อย รายกลาง และรายใหญ่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจข้อควรปฏิบัติและข้อผิดพลาดการเติบโตของตลาดการเงิน ถ้ามีเงื่อนไขมาก มีความยุ่งยากและมีต้นทุนสูงจะไม่เอื้อต่อการลงทุนหรือระดมเงิน รัฐจึงมีหน้าที่สำคัญคือการสร้างบรรยากาศ ช่วยเหลือและช่วยคัดกรองการลงทุนเพื่อป้องกันการทุจริต ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ มุ่งลดกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้สามารถเกิดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้สะดวกรวดเร็ว ถ้าเรายังไม่อยากเสียโอกาสในการพัฒนาตลาดการเงินแบบดิจิทัล ที่กำลังมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น 

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ในขณะที่การเก็บภาษียังไม่มีความชัดเจน ยังมีช่องว่างของการปฏิบัติตามกฎหมายในการคำณวน จะทำให้นักลงทุนบุคคลธรรมดารายย่อยได้รับอุปสรรค ในการซื้อขายสินทรัพย์ จนทำให้มีแต่นักลงทุนรายใหญ่ได้ประโยชน์  ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดความเหลือมล้ำมากยิ่งขึ้น  รัฐบาลควรกลับไปศึกษาให้แน่ชัดเสียก่อน   การที่รัฐบาลประกาศจะเก็บภาษีฯ ในช่วงนี้ น่าจะเป็นเพราะเข้าตาจนเมื่อการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เข้าเป้า นับตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลาเกือบ 8 ปีติดต่อกัน ทำให้รัฐต้องหารายได้จากทางอื่น 

"พรรคเพื่อไทยเสนอทางออกมาโดยตลอด คือการทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัว มุ่งใช้เงินที่กู้มาให้มีประโยชน์ ไม่ใช้การจัดเก็บภาษีแบบที่ไม่มีระบบที่แน่ชัด อย่าซ้ำรอยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เข็นออกมาใช้ในขณะที่ยังไม่พร้อมจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่ว แต่รัฐกลับต้องขาดรายได้ไปหลายหมื่นล้านต่อปี อย่าใช้วิธีที่ไม่รอบคอบแบบเก่ากับการเก็บภาษีในธุรกิจแบบใหม่เพราะจะทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย" นายจักรพงษ์ กล่าว