สแกน "สนามหลักสี่" หยั่งเสียง-เช็คกระแสนิยม

สแกน "สนามหลักสี่" หยั่งเสียง-เช็คกระแสนิยม

ศึกเลือกตั้งหลักสี่ นอกจากจะเป็น “ศึกวัดพลัง-ล้างตา-กู้ศักดิ์ศรี” ของบรรดาพรรคการเมืองแล้ว ยังถือเป็นศึกสำคัญในการหยั่งเสียง-เช็คคะแนนนิยมของบรรดาพรรคการเมืองในอนาคตอีกด้วย

เป็นที่รู้กันว่า ผลจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ “สิระ เจนจาคะ” อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เขตหลักสี่ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.อันเนื่องมาจากเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกในคดีฉ้อโกงเมื่อ 26 ปีก่อน

ส่งผลให้ “สนามการเมือง” หลักสี่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยล่าสุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง(ก.ก.ต.) ประกาศวันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร แทนตำแหน่งที่ว่าง ในวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค.65 เวลา 08.00-17.00 น. 

สำหรับรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่บรรดาพรรคการเมืองมีการเปิดออกมาเวลานี้ ล่าสุดจำนวนทั้งสิ้น 5 คน 

ไม่ว่าจะเป็นอดีตเจ้าถิ่นอย่าง “อ๊อบ” สุรชาติ เทียนทอง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ เสนาะ เทียนทอง ที่รอบนี้ยังคงสวมเสื้อเพื่อไทย ลงสนามกอบกู้ศักดิ์ศรี

สุรชาติ เป็นอดีต ส.ส.ที่ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งปี 54 ในเขตที่ 11 เขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง(เฉพาะแขวงสนามบิน ) โดยครั้งนั้นเขาได้ 28,376 คะแนนเฉือน สกลธี ภัททิยกุล จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ 25,704 คะแนน

ทว่า การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในวันที่ 24 มี.ค.2562 “สุรชาติ” ซึ่งลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย ในเขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-เขตจตุจักร (ยกเว้นแขวงจตุจักร และแขวงจอมพล) มาเป็นลำดับ 2 ด้วย 32,115 คะแนน พ่ายให้กับสิระจากพรรคพลังประชารัฐที่ได้ 34,907 คะแนน เพียง 2,792 เท่านั้น

มารอบนี้ “อดีตส.ส.อ๊อบ” ยังคงเดินหน้าปลุกกระแสแลนสไลด์เพื่อไทย ชูสโลแกน #จะรับใช้ด้วยหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมขายความเหนียวแน่นในพื้นที่มากว่า 17 ปี ขอโอกาสรับใช้พี่น้องชาวหลักสี่ จตุจักรอีกครั้ง

ศึกรอบนี้พรรคเพื่อไทย มั่นอกมั่นใจด้วย “ฐานคะแนนเดิม” ที่มีอยู่บวกจุดขายความเป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย รวมทั้งกระแสไม่เอาประยุทธ์ (จันทร์โอชา) น่าจะเป็นตัวหนุนให้สุรชาติได้รับชัยชนะได้ไม่ยาก แม้จะมีคู่แข่งจากฝ่ายประชาธิปไตยอย่างพรรคก้าวไกลก็ตาม 

ขณะที่คู่แข่งอย่าง “พรรคพลังประชารัฐ”  ส่ง “เจ๊หลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาสิระ ซึ่งขยับจากเขตดอนเมืองลงรักษาพื้นที่ของผู้เป็นสามีแต่เดิม 

ครั้งนี้ “เจ๊หลี” ขายความต่อเนื่องในการมุ่งลงพื้นที่แทนพี่สิระผู้เป็นสามี โกยฐานเสียงเลือกความสงบจบที่ลุงตู่ที่มีอยู่เดิมประกาศ แต่งตัวเตรียมพร้อมเข้าสภา พร้อมทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ แทนสามี 

ไม่ต่างจาก “เพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ จากพรรคก้าวไกล ที่ผันตัวจากนักแสดงลงสู่สนามการเมือง หลังจากช่วงที่ผ่านมา เขามีบทบาทในการออกมา Call Out รวมถึงแสดงความเห็นทางการเมือง พร้อมร่วมเวทีชุมนุมในหลายต่อหลายครั้ง 

ครั้งนี้ “เพชร”  จึงอาศัยฐานเสียงฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เอารัฐบาล เป็นจุดขายเรียกคะแนนจากคนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมี “เอ๋” อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่รอบนี้สวมเสื้อพรรคกล้าของกรณ์ จาติกวณิช ขยับจากเขต 6 ราชเทวี พญาไท และจตุจักร มาลงเขต 9 หลักสี่-จตุจักร แทน

แม้จะมีการขยับจากเขตเดิม ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งครั้งนั้นอดีต ส.ส.เอ๋ ได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 4 โดย ภาดาท์ วรกานนท์ จากพรรคพลังประชารัฐ ได้รับชัยชนะในเขตดังกล่าว 

ทว่า หากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 2551 ครั้งนั้นอรรถวิชช์ได้รับเลือกตั้ง เป็นส.ส.ในเขต 4 คือ จตุจักร บางซื่อ หลักสี่ ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมทีมกับ บุญยอด สุขถิ่นไทย และสกลธี ภัททิยกุล

ฉะนั้น การชิงชัยของอรรถวิทย์รอบนี้จึงถือเป็นการหวนคืนสนามเดิมเมื่อปี 2551 ซ้ำยังมีฐานเสียงของเพื่อนรักอย่าง สกลธี ภัททิยกุล ซึ่งเคยลงสมัครในเขตดังกล่าวเมื่อปี 2554 คอยหนุนอีกทางหนึ่ง

อีกคนที่ประกาศลงชิงชัยศึกหลักสี่ “พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์” จากพรรคน้องใหม่ อย่าง “พรรคไทยภักดี” พร้อมขายความเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เคยดำรงตำแหน่งซีอีโอหลายบริษัท ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ชูสโลแกน “ไม่กุ๊ย ไม่โกง ไม่กร่าง รักชาติ รักสถาบันฯ” 

แม้จะเป็นนักการเมืองน้องใหม่ แต่เขาก็ขอชูจุดขายความเป็นนักบริหารมากว่า 20 ปี เพื่อพัฒนาเขตหลักสี่ ที่มีการแข่งขันที่สูง แต่ไม่ได้แข่งกับใคร

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ศึกเลือกตั้งหลักสี่ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า นอกจากจะเป็น “ศึกวัดพลัง-ล้างตา-กู้ศักดิ์ศรี” ของบรรดาพรรคการเมืองแล้ว ยังถือเป็นศึกสำคัญในการหยั่งเสียง-เช็คคะแนนนิยมของบรรดาพรรคการเมืองในอนาคตอีกด้วย