‘ศึก ส.ก.’ปูทางสนามใหญ่ เดิมพันศักดิ์ศรี-ล้างตา

‘ศึก ส.ก.’ปูทางสนามใหญ่  เดิมพันศักดิ์ศรี-ล้างตา

"สนามส.ก." ศึกเลือกตั้งท้องถิ่น ที่มีเดิมพันด้วยขุมการเมืองในอนาคต จึงไม่แปลกที่ยามนี้จะเห็นภาพของบรรดาพรรคการเมืองเริ่มส่งสาส์นท้ารบเปิดศึกล้างตา-กู้ศักดิ์ศรี หวังผลไปถึงสนามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

แม้ยามนี้ จะยังไร้ซึ่งสัญญาณจากฟากฝั่งรัฐบาล รวมถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นสนามถัดไปนั่นคือ ผู้ว่าฯกทม.

แต่จากไทม์ไลน์ที่ถูกเปิดออกมาเวลานี้ มีการคาดการณ์ว่าการหย่อนบัตรเลือก “พ่อเมืองกทม.” ที่ว่างเว้นมากว่า 8 ปีน่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า 

ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ความเคลื่อนไหวพรรคการเมืองขณะนี้จะเดินหน้าเปิดตัวผู้สมัคร

ล่าสุด “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัว “ดร.เอ้ ” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ลงชิงผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นับเป็นรายที่ 2 ต่อจาก “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ที่ประกาศตัวไปก่อนหน้านี้

พร้อมแนวคิด “เปลี่ยนกรุงเทพ..เราทำได้” ดัน กทม.สู่รัฐสวัสดิการต้นแบบอาเซียน

คล้อยหลังเพียง 1 วัน ค่ายสะตอเร่งเครื่องเปิดเกมคู่ขนาน ประกาศรายชื่อผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพ(ส.ก.) ทั้งหน้าใหม่ 37 คน หน้าเก่าอีก 13 คน รวม 50 คน

ในส่วนของสนาม ส.ก.นั้น ตามไทม์ไลน์จะต้องเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และนายกฯเมืองพัทยา ซึ่งต้องยอมรับว่า ในส่วนการเลือกตั้ง ส.ก.รอบนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังมีการเลือกตั้งส.ก.ครั้งล่าสุด 29 ส.ค.2553 ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 

ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นซึ่งมี ส.ก.50 เขต 61 คน ปรากฎว่า ปชป.ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ส.ก. 45 คน พรรคเพื่อไทย 15 คน และผู้สมัครอิสระ 1 คน

ทว่าผ่านไป 10 ปี สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป “สนามใหญ่” เกิดปรากฎการณ์ดูดย้ายค่าย ย้ายโปร โดยเฉพาะ ส.ก.ของ ปชป. ทั้ง กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา  กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ศิริพงษ์ รัสมี ที่หันไปลงสมัครส.ส.ในนามพลังประชารัฐ

ขณะที่การเลือกตั้งสนามใหญ่ที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฎการณ์ “พลิกฟ้า” ค่ายปชป.ที่ส่งผู้สมัครครบ 30 เขต พ่ายราบคาบไร้ที่นั่งส.ส.ในพื้นที่เมืองหลวง 

ต่างจากเพื่อไทยที่ยังคงรักษาพื้นที่ ส.ส.ไว้ในระดับที่น่าพอใจ ได้ส.ส. 9 คนจากเดิม 10 คน เนื่องจากส่งผู้สมัครส.ส.แค่ 22 เขต และเว้นให้พรรคไทยรักชาติ 8 เขต แต่ดันมาเจออุบัติเหตุการเมืองนั่นถือถูกยุบพรรคไปเสียก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูคะแนน “ป็อปปูลาร์โหวต” พบว่า  อันดับ 1 คือพรรคฝ่ายซ้าย อย่างพรรคอนาคตใหม่ ได้ 804,272 คะแนน  อันดับ 2 พรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคที่ชิงฐานคะแนน ปชป. ได้ 791,893 คะแนน อันดับ 3 พรรคเพื่อไทย ได้ 604,699 คะแนน ส่วนปชป.ร่วงมาอยู่ลำดับที่ 4 ด้วยคะแนน 474,820 คะแนน

ฉะนั้นเมื่อเกมการเมือง “สนามใหญ่” เปลี่ยนไป นั่นย่อมส่งผลให้บรรดาพรรคการเมืองต่างเร่งปรับเกม โดยเฉพาะสนามท้องถิ่นอย่าง ส.ก.เพื่อปูทางไปสู่สนามใหญ่ในอนาคต 

เห็นชัดจากความเคลื่อนไหวค่ายต่างๆ ที่ทยอยเปิดตัวผู้สมัครส.ก.ลงพื้นที่ แนะนำตัว โดยเฉพาะในห้วงสถานการณ์หารแพร่ระบาดของโรคโควิด19 หวังผลไปถึงการตุนคะแนนไว้ในมือ

ไม่ว่าจะเป็น พรรคเพื่อไทย ที่บรรดาแกนนำ ประกาศส่งผู้สมัคร ส.ก.ครบทั้ง 50 เขต

หรือ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แห่งค่ายส้มหวานก่อนหน้านี้ได้เปิดตัว “กลุ่มเปลือกส้ม” พร้อมจัดทีมผู้สมัคร ส.ก.

ไม่เว้นแม่แต่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ขนอดีต ส.ก.เปิดตัวพรรคไทยสร้างไทย

ยังไม่นับรวม พลังประชารัฐ ซึ่งมีฐานะเสียงทับซ้อนกับค่าย ปชป.เจ้าของพื้นที่เดิม จุดนี้เองที่อาจเป็นโจทย์ใหญ่ให้ค่ายสีฟ้าต้องเร่ง“กู้หน้า” จากศึกเลือกตั้งส.ส.ที่แพ้แบบราบคาบ ไร้ที่นั่งส.ส.ในพื้นที่เมืองหลวงเพื่อกู้ศักดิ์ศรีพรรคกลับคืน

ฉะนั้น แม้ยามนี้จะยังไร้ซึ่งสัญญาณลั่นกลองรบสนามส.ก. แต่เชื่อได้ว่ากว่าจะถึงวันจริง บรรดาพรรคการเมืองแต่ละค่าย ส่งสาส์นท้ารบดุเดือดแน่นอน!