“ผังล้มเจ้า” สู่ “ผังกบฎ” การข่าวผิด รัฐบาลพลาด ?

“ผังล้มเจ้า” สู่ “ผังกบฎ”  การข่าวผิด รัฐบาลพลาด ?

ความเคลื่อนไหวของ "เครือข่ายต้านรัฐบาล-ปฏิรูปสถาบัน" ถูกจับตา จากฝ่ายความมั่นคง ว่า มีความเชื่อมโยง หรือ มีกระบวนการ "ใคร" ที่อยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ทำ คือ การทำผังแสดงถึงความโยงใย แต่ขณะนี้ ยังเป็นเพียงแค่ "สิ่งเลือนลาง"

        “ผังล้มเจ้า” ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ปี 2553 ที่ได้รวบรวมเครือข่ายบุคคลที่มีความคิด และพฤติกรรมล้มล้างสถาบันเบื้องสูง โดยมี “ทักษิณ ชินวัตร”อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นแกนกลาง เชื่อมโยงบุคคลทั้ง นักการเมือง พรรคการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ เว็บไซต์ และแกนนำคนเสื้อแดง น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญของ “หน่วยงานความมั่นคง”ในการวางแผนรับมือ “ม็อบ 3 นิ้ว”

 

        “หน่วยงานความมั่นคง” ได้ติดตามความแถลงการณ์ฉบับล่าสุดของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เรื่องการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโลโก้ของ 8 เครือข่ายแนบท้ายคำแถลงการณ์ ที่หน่วยงานความมั่นคงเรียกว่า

ขบวนการแม่น้ำ 8 สาย ประกอบด้วย

1. กลุ่มทะลุฟ้า

2. แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม

3. คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.)

4.กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG)

5. WeVolunteer

6.กลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย

7.เหล่าทัพราษฎร

8.กลุ่ม Supporter Thailand (SPT)

 

        หลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยการกระทำของ 3 แกนนำม็อบ อานนท์ นำภา ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง และ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ชุมนุมปราศรัยเมื่อ 10 ส.ค. 2563 ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เรียกร้องปฏิรูป 10 ข้อเกี่ยวข้องสถาบันกษัตริย์ เป็นการล้มล้างการปกครอง และสั่งให้เลิกกระทำการดังกล่าวในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

“ผังล้มเจ้า” สู่ “ผังกบฎ”  การข่าวผิด รัฐบาลพลาด ?

        “ขบวนการแม่น้ำ 8 สาย” ออกแถลงการณ์ผ่านเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พร้อมทั้งประกาศรวมตัวอีกครั้งเมื่อ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา 

 

        แม้การเคลื่อนไหวจะเปลี่ยนข้อความใหม่ ไม่ใช้การ “ปฏิรูปสถาบัน” เหมือนเดิม แต่ยังคงคอนเซปต์ “ทะลุเพดาน” ด้วยการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศไทย

 

        หน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง คอยเขียนแผนและวางโครงสร้างต่างๆ จนทำให้ “แกนนำ” ที่ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ยิ่งต่อสู้ยิ่งเตลิดไปไกล และอาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีเพิ่มเป็นเท่าตัวในอนาคต ทั้งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ( ม.112) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และที่หนักสุดคือข้อหา “กบฎ”

 

        สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้คือ การขยายผลคำพิพากษาของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ด้วยการนำสืบเพื่อต่อจิ๊กซอว์และพิสูจน์ให้ได้ว่ามีการตระเตรียมเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจะนำไปสู่ข้อหากบฎในรูปแบบใด เช่น มีการเตรียมกำลัง หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย มีการสะสมอาวุธ หรือไม่

 

        โดยขั้นตอนการตระเตรียม ต้องมีองค์ประกอบโครงสร้างที่ชัดเจน คือแบ่งหน้าที่กันทำ มีการติดต่อในทางลับ ใครเป็นหัวขบวน ใครเป็นมันสมอง แกนนำ หัวหน้า ใครทำหน้าที่ไฮปาร์กเรียกมวลชน และใครเป็นกองกำลังติดอาวุธ และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ต้องเชื่อมโยงให้ได้เช่นเดียวกับ “ผังล้มเจ้า” เมื่อปี 2553

“ผังล้มเจ้า” สู่ “ผังกบฎ”  การข่าวผิด รัฐบาลพลาด ?

           เวลานี้ ข้อมูลหลักฐานที่อยู่ในมือหน่วยงานความมั่นคง ยังเป็นเพียงภาพแผนผังลาง ๆ แต่ยังไม่ปรากฎโครงสร้างที่ชัดเจน แม้จะพบว่ามีการรับเงินเข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนไหว แต่ยังขาด องค์ประกอบเรื่อง “กองกำลังติดอาวุธ” ซึ่งต้องติดตามว่า “การ์ดขาม็อบ” จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดนั้นหรือไม่

           แหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงยอมรับว่า ทำงานยาก และการเอาผิด ม.112 กับแอดมินขบวนการแม่น้ำ 8 สายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคนโพสต์อยู่ในต่างประเทศ 

 

           ส่วนการดำเนินคดีกับแกนนำ แนวร่วม ก็ต้องรอให้ความผิดสมบูรณ์ด้วยตัวเอง รวมถึงคนชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อป้องกันข้อครหาถูกกลั่นแกล้ง แม้จะรู้ว่าเป้าหมายของการเคลื่อนไหวจะนำไปสู่อะไร แต่ยังไม่สามารถแจ้งข้อหาได้ จนกว่าจะสามารถเขียนโครงสร้าง ความเชื่อมโยงทั้งหมดได้สมบูรณ์ครบถ้วน มีพยานหลักฐานมัดแน่น จนดิ้นไม่หลุด

 

           บทเรียนเรื่อง“ผังล้มเจ้า”ปี 2553 หรือ 10 ปีก่อน ที่หน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่าองค์ประกอบสมบูรณ์ครบถ้วน เคยพังไม่เป็นท่ามาแล้ว หลังจาก “สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิชาการกลุ่มคนเสื้อแดง ได้นำแผนผังดังกล่าวไปเป็นหลักฐาน ฟ้องร้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ต่อศาลอาญาในข้อหาหมิ่นประมาท โดยศาลได้รับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1529/2553

 

           ต่อมาอาจารย์สุธาชัย ได้ถอนฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน และคดีถูกจำหน่ายออกจากระบบ หลังจากพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ชี้แจงต่อศาลว่า เชื่อว่ามีขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

 

           “แต่เอกสารที่ไปแจกสื่อมวลชนนั้นมิได้หมายความว่า ผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ให้สังคมพิจารณา และวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสารว่า แต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกัน เป็นต้น” 

“ผังล้มเจ้า” สู่ “ผังกบฎ”  การข่าวผิด รัฐบาลพลาด ?

           “มิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น แต่หลังจากนั้น มีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของ ศอฉ.ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา” คำชี้แจงของ พ.อ.สรรเสริญ ขณะนั้น

 

           ดังนั้น “ผังกบฎ” โจทย์ใหม่ของฝ่ายความมั่นคงในยุค 2564 หากข้อมูลหลักฐานไม่ชัดจริง ย่อมเสี่ยงเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับไปยังรัฐบาล ให้เสียรังวัดเหมือน“ผังล้มเจ้า”ยุค 2553.