เบื้องลึก“3 ป.”เคลียร์“ธรรมนัส” จัดฉาก“วิรัช” แพะการเมือง

ดูเหมือนความสงบของพรรคพลังประชารัฐจะจบลงที่ “3 ป.” แต่สถานการณ์ภายใน เป็นเพียงแค่พักรบชั่วคราว ไม่ได้กลับมารักกันเหมือนวันเก่า เพราะแก้วที่แตกแล้วแม้จะพยายามประสานอย่างไร ก็ยากที่จะกลับมาแข็งแรงสวยงามแบบไร้รอยต่อ

 กระแสข่าวล่าสุด ที่ออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ไฟเขียวให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เข้าพบ เพื่อเคลียร์ใจกันแล้ว และมี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค "บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นสักขีพยาน

“ทีมธรรมนัส” กระพือข่าวให้สื่อว่า “3 ป. + ธรรมนัส” เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง และไม่มีปัญหาอะไรให้ข้องใจ-ระแวงใจกันอีกต่อไป โดยมีสัญญาใจกันว่างานภายในสภาฯต้องราบรื่น กฎหมายสำคัญ-กฎหมายการเงิน และกฎหมายทุกฉบับที่เสนอโดยรัฐบาล ต้องไม่มีปัญหา ไม่มีการเล่นเกมในสภาฯ เพื่อใช้ต่อรองโค่นล้มรัฐบาล

ข้อมูลจากสาย “ธรรมนัส” ยังอ้างว่า เจ้าตัวตกปากรับคำเป็นอย่างดี หากดูตามเกมแล้ว มีโอกาสสูงที่ “ธรรมนัส” จะทำตามคำมั่นสัญญา เพราะโดน “ทีมประยุทธ์” รุกไล่จนเกือบจะหมดอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ

คำให้สัมภาษณ์จากปาก “พล.อ.ประยุทธ์” คอนเฟิร์มกระแสข่าวชัดว่า ได้เคลียร์ใจกับ “ธรรมนัส” แล้ว โดย “พล.อ.ประยุทธ์” กล่าวว่า “ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส แล้ว 1 ครั้ง โดย ร.อ.ธรรมนัส มาขอคุยด้วย ซึ่งไม่มีอะไร ถ้าไม่มีใครยุแยง ตะแคงรั่ว มันก็ดีอยู่”

คำพูดของ “พล.อ.ประยุทธ์” พยายามสื่อว่ามีคนยุแยง ตะแคงรั่ว อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายของพรรคพลังประชารัฐ ที่คอยคิดเกม-วางเกมสร้างความปั่นป่วน

หากถอดรหัสทางการเมือง คนยุแยงตะแคงรั่วจากปากของ “พล.อ.ประยุทธ์” ย่อมมาจากคำบอกกล่าวของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ได้พูดคุยกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งแม้ไม่มีการเปิดเผยชื่อว่าเป็นใคร แต่ร่องรอยทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านพอบอกได้

เนื่องจาก “ขุนพล” ข้างกายของ “พล.อ.ประวิตร” ที่แทบจะหมดอนาคต จบเส้นทางการเมืองไปคนแรกชื่อ “วิรัช รัตนเศรษฐ” อดีตประธานวิปรัฐบาล ที่เพิ่งถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ อันเนื่องมาจากคดีทุจริตโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอล

จากเดิมที่ศาลนัดชี้ขาดสถานะของ “วิรัช” ไว้วันที่ 20 ธ.ค. และมีแนวโน้มที่จะยื้อให้ศาลเลื่อนการตัดสินได้อีก 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ทันครบนัดหมายครั้งแรก ศาลกลับฟัน “วิรัช” แบบฟ้าผ่า ชนิดเจ้าตัวยังไม่ทันได้เตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้ก่อน

เมื่อ “วิรัช” โดนเชือดทิ้ง ชนิดต้องจบชีวิตทางการเมืองอย่างโดดเดี่ยว เมื่อหมดอนาคตไปแล้ว ย่อมไม่ยาก ที่จะถูกโยนความผิดให้ แถมบทบาทของ “วิรัช” ก็ชัดเจนภายในตัวอยู่แล้วว่า เป็นคนคุมเสียง ส.ส.ในฐานะประธานวิปรัฐบาล หากจะหา “แพะการเมือง” สักตัว ชื่อของ “วิรัช” จึงน่าจะเข้าทางที่สุด

ที่สำคัญ วงในรู้กันดีว่า “วิรัช” คือคีย์แมนหลักในการคิดเกม-เคลื่อนเกม ให้กับ “ทีมธรรมนัส” ใช้เดินหมากทางการเมือง เดินเกมคุมพรรคพลังประชารัฐ

จึงปฏิเสธได้ยากว่า “วิรัช” ไม่มีอะไรพัวพันกับเกมโหวตล้ม “พล.อ.ประยุทธ์” เพียงแต่ “วิรัช” กระโดดหนีออกมาทัน ก่อนเกมจะโอเวอร์ 

อีกทั้งกรณี คิดเกมทำโพล เพื่อสำรวจความนิยมของ ส.ส.เขต เพื่อใช้เป็นข้ออ้างไม่ส่ง ส.ส.เขต ที่มีคะแนนนิยมต่ำลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส. ในครั้งหน้า “วิรัช” ก็หนีข้อหานี้ไม่พ้นเช่นกัน

อีกทั้ง “วิรัช” ยังเป็นคนคิดแผนให้ ส.ส.โหวตโดยเขียนใส่กระดาษว่า จะสนับสนุนใครนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อเพื่อเคลียร์ใจกันทั้งพรรค จนนำมาสู่เสียงเอกฉันท์ว่า ส.ส. ยังสนับสนุน “ร.อ.ธรรมนัส” ทำหน้าที่เลขาธิการพรรคต่อ

ในเมื่อทุกความเคลื่อนไหวในพรรค “วิรัช” มีส่วนพัวพันเกือบทุกเรื่องวุ่นๆ ภายในพลังประชารัฐ ดังนั้นเมื่อมีการเคลียร์ใจกันระหว่าง “3 ป.” กับ “ธรรมนัส” ชื่อ “วิรัช” ไม่พ้นความรับผิดชอบทุกปัญหา เพื่อประคับประคองให้ “บิ๊กป้อม-ธรรมนัส” ยังสามารถคุมพรรคพลังประชารัฐเอาไว้ได้

แต่ใช่ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะเชื่อทุกคำพูด-ทุกข้อกล่าวอ้างของ “ร.อ.ธรรมนัส” เนื่องจากบทเรียนมีมาให้เห็นแล้วว่าขบวนการโค่นอำนาจ “พล.อ.ประยุทธ์” มีจริง

อย่าลืมว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เคยสอบถาม “พล.อ.ประวิตร” ด้วยตัวเองว่า “พี่อยากเป็นนายกฯเหรอ” ก่อนจะมีปฏิบัติการโหวตล้ม แม้คำตอบของ “พล.อ.ประวิตร” จะตอบว่า “ไม่” แต่คนเบื้องหลัง “พล.อ.ประวิตร” ที่คอยยุยงไม่คิดเช่นนั้น

และอย่าลืมว่า “พล.อ.ประวิตร” เคยรับปาก “พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.อนุพงษ์” แล้วว่าจะปรับโครงการสร้างพรรคพลังประชารัฐเสียใหม่ โดยจะให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แต่ “พล.อ.ประวิตร” พลิกลิ้น จน “ทีมประยุทธ์” เสียรังวัดพอสมควร

ดังนั้นแม้ “3 ป.” กับ “ธรรมนัส” จะเคลียร์ใจกันแล้ว แต่ในอนาคตข้างหน้า ก็ไม่อาจไว้วางใจกันอีกต่อไป  

เวลานี้ ความจำเป็นต้องประคับประคองสถานะของ “รัฐบาล” ให้มั่นคงขึ้น แต่หากถึงจังหวะเวลาทีเด็ดทีขาด อาจจะต้องรบกันอีกยก