ศึกใน-พี่ใหญ่-สไตล์ทหาร ถ่วง "พปชร.”ตกเทรนด์

ศึกใน-พี่ใหญ่-สไตล์ทหาร ถ่วง "พปชร.”ตกเทรนด์

สะท้อนชัดว่า ปัญหาภายในพปชร. กำลังส่งผลให้พรรคประสบภาวะการแพ้ภัยตัวเองหรือไม่ และอาจจะตกขบวนการเมืองโลกใหม่ในไม่ช้า

แบรนด์พลังประชารัฐ ชั่วโมงนี้อาการน่าเป็นห่วงสุดๆ เมื่อเทียบขุมกำลัง ความพร้อมกับพรรคการเมืองยี่ห้ออื่น ที่ขยับปรับทัพเตรียมตัวเข้าสู่โหมดเลือกตั้งได้ทุกเวลา

ปัญหาใหญ่ในพลังประชารัฐที่แก้ไม่ตก คือความไม่ลงรอยระหว่างแกนนำแต่ละกลุ่ม ที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ไม่ว่าใครขึ้นมามีอำนาจบริหารพรรค ก็จะถูกคนอีกกลุ่มรุมเตะตัดขา

จนลุกลามบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนความมั่นคงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาอย่างต่อเนื่อง

ทำเอาบรรดาขุนศึก ขุนทหาร ที่คิดว่าแน่ พอเจอลูกเล่นนักการเมืองเข้าไป ก็ผวาอยู่บ่อยๆ 

เงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหา คือวิธีการบริหารการเมืองสไตล์ทหาร การจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ ไม่เป็นที่ถูกใจของนักการเมือง

ความขัดแย้งภายในเป็นตัวฉุดให้พรรคก้าวไม่พ้นกับดักที่ตัวเองสร้างกันขึ้นมา การคิดจะขยับปรับเปลี่ยน รีโนเวท หรือรีแบรนด์พรรคจึงทำได้ยาก เมื่อแต่ละกลุ่มก๊วนต่างไม่ไว้ใจกัน ความร่วมมือจึงไม่เกิด

ที่สำคัญการมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค กุมบังเหียน ก็ดูจะคุมพรรคให้ไปในทางที่ควรจะเป็นไม่ได้ 

การยุติความขัดแย้งก็เช่นเดียวกัน จากที่ถูกมองว่าพี่ใหญ่จะเข้ามาหย่าศึกใน แต่สุดท้ายก็เห็นแล้วว่า พี่ใหญ่ผู้นี้กลับกลายเป็นสลักความขัดแย้งตัวสำคัญ ที่คอยหล่อเลี้ยงให้คนบางกลุ่มมีอิทธิฤทธิ์ ทั้งบนดินใต้ดิน ชนิดที่หัวหน้าพรรคตามเกมลูกน้องที่รายล้อมตัวเองไม่ทัน

เวลานี้ คนในพรรค นอกจากทหารเก่า และนักการเมืองที่เขี้ยวลากดินแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคนระดับมันสมอง คอยรับหน้าที่เป็นสถาปนิก คิดค้น ออกแบบ นโยบาย เศรษฐกิจ สังคม เพื่อให้ตอบโจทย์ประชาชน

เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของพลังประชารัฐ เมื่อบรรยากาศภายในไม่เอื้อให้คนเก่งจากภายนอกอยากเข้ามาทำงานให้ เพราะเห็นบทเรียนมานักต่อนักแล้วว่า ยุทธการเสร็จนาฆ่าโคถึก และเกมโหดทั้งหลายมีอยู่จริงในพรรคการเมืองนี้

การขับเคลื่อนของพลังประชารัฐไปข้างหน้า ด้วยอัตราเร่งที่ต่ำ จะกลายเป็นความได้เปรียบของคู่แข่งไปโดยปริยาย และการปรับตัวช้า กว่าจะจัดทัพเสร็จ คู่ต่อสู้คงทิ้งห่างไปหลายขุม

นอกจากนั้น หลายพรรคปรับโฉมภาพลักษณ์ และแนวทางของตัวเองครั้งใหญ่ เพราะรู้ดีว่า เทรนด์การเมืองไทยตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ฉากทัศน์ต่อไปบนเวทีการเมือง จะเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ ความสร้างสรรค์ การพัฒนาด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ดิจิทัล ความล้ำสมัย ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก หันมองพลังประชารัฐที่ยิ่งมุ่งครองอำนาจ กลับยิ่งดูห่างไกลเทรนด์การเมืองใหม่ ไม่มีอะไรที่สามารถมัดใจ สร้างฐานเสียงคนรุ่นใหม่ได้เลย

สะท้อนชัดว่า ปัญหาภายในกำลังส่งผลให้พรรคประสบภาวะการแพ้ภัยตัวเองหรือไม่ และอาจจะตกขบวนการเมืองโลกใหม่ในไม่ช้า

ลำพังหากพลังประชารัฐ คิดแค่ว่า มีทุน มีอำนาจ แล้วจะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อาจถึงเวลาที่ต้องปรับมายด์เซ็ตกันขนานใหญ่