รองโฆษก ปชป.รำลึก 17 ปี “ตากใบ” ดัน “พ.ร.บ.ซ้อมทรมาน” ป้องเหตุรุนแรงกลับมาอีก
![รองโฆษก ปชป.รำลึก 17 ปี “ตากใบ” ดัน “พ.ร.บ.ซ้อมทรมาน” ป้องเหตุรุนแรงกลับมาอีก](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2021/10/pGSX5fIjklTi15m7tm8v.jpg?x-image-process=style/LG)
รองโฆษก “ปชป.” รำลึก 17 ปี “ตากใบ” ชี้ความไว้วางใจจากประชาชนจะกลับมาได้ “กฎหมาย” ต้องได้รับการปรับปรุง ผลักดัน “พ.ร.บ.ซ้อมทรมานฯ” ป้องเหตุการณ์รุนแรงกลับมาอีก
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2564 น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... กล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 หรือ 17 ปีที่แล้วว่า ด้วยสาเหตุจากความไม่ไว้วางใจของรัฐที่มีต่อประชาชน นำไปสู่ความสูญเสียที่ยากจะลืม ผ่านการบังคับใช้กฎหมายภายใต้อำนาจอันขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่ควรจะเป็น
อ่านข่าว : "กระทรวง พม." นำร่อง 3 จังหวัด เร่งแก้ปัญหา "ความรุนแรง" ในภูมิภาค
“มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ตากใบ ทั้งจากการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และถูกกดทับอย่างรุนแรงในระหว่างถูกจับกุมรวม 85 คน นี่ยังไม่นับความสูญเสียจาก “เหตุการณ์กรือเซะ” ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความไม่ไว้วางใจของรัฐต่อชาวบ้านในพื้นที่ นอกเหนือจากนี้ยังมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ และเกิดความหวาดกลัวอีกมากมาย นี่คือความล้มเหลวของการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ จนทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเครื่องมือในการตัดสินข้อพิพาท และนำมาซึ่งความโกรธแค้น และรู้สึกไม่เป็นธรรมของชาวบ้านในพื้นที่ และประชาชนทั่วไป” น.ส.ศิริภา กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น นอกเหนือความรับผิดชอบทางด้านคดีความที่ยังไม่มีข้อสรุปในด้านการคืนความเป็นธรรมต่อผู้สูญเสียแล้ว การปรับปรุงด้านกฎหมายให้ตรงกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาอีก จึงควรต้องเร่งพิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม และกล้าที่จะสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐอย่างเป็นธรรม เพื่อนำความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐกลับคืนมา
“พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และตระหนักถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย ที่ควรต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีความเท่าเทียม เป็นธรรม และอยู่ในหลักสิทธิมนุษยชนสากล จึงมองว่า การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายอันมีความเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย จะเป็นหนทางสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของความปลอดภัย และสันติสุขในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ อย่างที่พวกเราตั้งใจ และพยายามจัดการปัญหานี้อย่างต่อเนื่องเสมอมา” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว