รูดม่านเจ้าภาพ เอเปก ปลายปี 65 สัญญาณ “ยุบสภา” ต้นปี 66

รูดม่านเจ้าภาพ เอเปก ปลายปี 65 สัญญาณ “ยุบสภา” ต้นปี 66

มีความเป็นไปได้สูงว่า สถานการณ์ภาพรวมในปี 2565 ถึงปี 2566 โดยเฉพาะเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโต ผู้คนจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยว คนในประเทศอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย เวลานั้นก็คงเป็นจังหวะที่ผู้มีอำนาจคิดเรื่องการเลือกตั้ง

เป็นช่วงที่หลายพรรคการเมือง ทั้งเก่าและใหม่ต่างเตรียมการแต่งเนื้อแต่งตัวลงสู่สนามเลือกตั้งที่กำลังนับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียงปีเศษ

3 พรรคร่วมรัฐบาลหลัก ได้แก่ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ที่พอใจกับระบบเลือกตั้ง 2 ใบ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น จนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้วตั้งแต่ 4 ต.ค. จากนี้จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยใน 90 วัน โดยวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรอบเวลา 90 วันนั้น จะครบในวันที่ 2 ต.ค.2565

ขณะที่ภูมิใจไทย แม้ไม่ปลื้มระบบเลือกตั้งแบบใบเดียว แต่ก็ต้องปรับกลยุทธ์กันยกใหญ่ 

เช่นเดียวกับบรรดาพรรคตั้งใหม่ โดยเฉพาะ ไทยสร้างไทย ที่ต้องปรับกระบวนทัพ หันมาโฟกัสส.ส.เขตมากขึ้น เพราะความหวังแบบเดิมคือเก็บทุกคะแนนเสียงมาคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ นั้นไม่มีอีกแล้ว

ความเคลื่อนไหวของพรรคไทยสร้างไทยในช่วงที่ผ่านมา เริ่มโหมแคมเปญ วางตัวผู้สมัครหลายพื้นที่แล้ว ควบคู่การเคลื่อนไหวหลังฉาก บิ๊กเนมทางการเมืองหลายกลุ่มหลายคน ดอดพูดคุยกับแกนนำพรรคอย่างต่อเนื่อง เพราะรู้ดีว่าการที่ต่างคนต่างแยกกันเดินจะสู้กับบรรดาพรรคใหญ่ลำบาก 

จึงเริ่มเห็นโมเดลที่เกิดขึ้นกับไทยสร้างไทย คือนักการเมืองจากหลายกลุ่ม หลายพรรค ส่งสัญญาณพร้อมย้ายมาร่วมงานกันหลายคน ทว่า หนึ่งในเงื่อนไขที่นักการเมืองบางคน ยังไม่มั่นใจที่จะเข้ามาร่วมงานกับไทยสร้างไทยนั้น เพราะกังวลว่าจะเป็นกลยุทธ์แตกแบงค์พัน เป็นเครือข่ายคนแดนไกลหรือไม่

ประเด็นนี้ แกนนำคนสำคัญของไทยสร้างไทย ยืนยันชัดเจนว่าการวางตำแหน่งของพรรคในทางการเมือง คือยึดพื้นที่ตรงกลาง ไม่สุดไปข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้น เรื่องที่กังวลว่าจะจับมือกับทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม อดีตนายกฯ นั้นลืมไปได้เลย ไม่เช่นนั้น บางกลุ่มการเมืองคงไม่กล้าทอดไมตรีให้กับพรรค และพร้อมจะเข้ามาร่วมงานการเมืองในอนาคต

อีกประเด็นสำคัญที่หลายพรรคการเมืองเฝ้าจับตาคือ การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หนึ่งในความเป็นไปได้ที่ต้องเกาะติดคือ โมเดลยุบสภาต้นปี 2566 ก่อนครบเทอมรัฐบาลเล็กน้อย ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย

1.ช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาล เป็นจังหวะที่ยังต้องควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมๆ ไปกับการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว กับโจทย์ใหญ่คือการเปิดประเทศปลายปีนี้

2.ในช่วงปี 2565 เป็นความหวังให้รัฐบาลเร่งสร้างคะแนนนิยมให้กลับคืนมา ผ่านการอัดเม็ดเงินเข้าระบบ ผ่านโครงการต่างๆ จึงเชื่อว่าจะเป็นเวลาพลิกฟื้น สถานการณ์หลายอย่างให้กลับสู่แดนบวก

3.การจัดทำงบประมาณปี 2566 และการแต่งตั้งโยกย้าย ต้องเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปี2565 ตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ จะเป็นกลไกที่เอื้อต่อการเดินหน้าทางการเมือง

4.ภารกิจสำคัญของรัฐบาลช่วงปลายปี 2565 คือการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปก และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จะมีผู้นำระดับโลก และผู้เกี่ยวข้องเดินทางมาไทยจำนวนมากถือเป็นงานใหญ่ที่สร้างหน้าสร้างตาให้รัฐบาล เรียกความเชื่อมั่นให้ประเทศ ดังนั้น รัฐบาลคงประคับประคอง รับผิดชอบงานใหญ่ระดับโลกแบบนี้ ให้รูดม่านลงอย่างสวยหรู ถึงค่อยคิดเรื่องการไปต่อ

5.เงื่อนไขการย้ายพรรค ที่หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม 4 ปีเต็ม คนที่จะย้ายมาลงสมัคร ส.ส.กับพรรคใหม่ มีเงื่อนไขสังกัดพรรค 90 วัน แต่กรณียุบสภา เงื่อนไขสังกัดพรรคจะเหลือแค่ 30 วัน

โดยในส่วนนี้ คนในรัฐบาลมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจในทางการเมืองนอกเหนือจากความพร้อม รวมถึงความนิยม และกระแสในช่วงที่เป็นขาขึ้น

มีความเป็นไปได้สูงว่า สถานการณ์ภาพรวมในปี 2565 ถึงปี 2566 โดยเฉพาะเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโต ผู้คนจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยว คนในประเทศอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย เวลานั้นก็คงเป็นจังหวะที่ผู้มีอำนาจคิดเรื่องการเลือกตั้ง