คณะทำงานฯแก้ กม.ลูก ปชป.ถกนัดแรก-หารือหลักเกณฑ์คำนวณ ส.ส.

คณะทำงานฯแก้ กม.ลูก ปชป.ถกนัดแรก-หารือหลักเกณฑ์คำนวณ ส.ส.

“ปชป.” ถกนัดแรก “คณะทำงานฯแก้กฎหมายลูก” เลือกตั้ง ส.ส. ยกตัวอย่างหลักเกณฑ์คำนวณ “ปาร์ตี้ลิสต์” คาดใช้เวลา 14 วันยกร่างหลัง “รธน.” มีผลบังคับใช้ เตรียมแก้ “พ.ร.บ.พรรคการเมือง” ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 24 ก.ย. 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ จะมีการประชุมของคณะทำงานพิจารณาศึกษารวบรวมข้อมูลในการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. …. 

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะทำงานฯชุดดังกล่าว เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 ก.ย. 2564 พรรคจะมีการประชุมคณะทำงานเป็นนัดแรก โดยจะพูดคุยว่าจะแก้ไขกฎหมายลูกดังกล่าวอย่างไรบ้าง ประกอบกับจะต้องคอยติดตามข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วยว่าจะยกร่าง เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างไร

ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ จะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นด้วยหรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญที่ได้แก้ไขครั้งล่าสุด ไม่ได้มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำเอาไว้ มีแต่เพียงกำหนดว่า การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องสัมพันธ์กันกับจำนวน ส.ส. เท่านั้น ยกตัวอย่าง คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อของทุกพรรครวมกันทั้งประเทศ มี 40 ล้านคะแนน จะต้องนำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน ไปหารผลลัพธ์ คือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จะต้องใช้ 4 แสนคะแนน จากนั้นจึงนำไปเทียบบัญญัติไตรยางค์กับคะแนนของแต่ละพรรคได้ต่อไป เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำจะทำให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้ นายราเมศ กล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่จะต้องพูดคุยหารือกัน คาดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะใช้เวลาประมาณ 14 วันในการยกร่างกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. หลังจากที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ นับจากที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่สาม เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้เว้นว่างไว้ 15 วัน หรือจะครบกำหนดในวันที่ 26 ก.ย. นี้

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า คณะทำงานจะได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองอีกด้วย ในประเด็นการทำ Primary Vote พรรคยืนยันให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคในการมีส่วนร่วมและการกำหนดตัวแทนพรรคประจำจังหวัด โดยมีแนวโน้มว่า อาจจะกลับไปเป็นเหมือนตอนการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี 2562 กล่าวคือ หนึ่งจังหวัดอาจจะมีการพูดคุยแนวทาง เช่น เป็นไปได้หรือไม่ ให้มีตัวแทนพรรคประจำจังหวัดก็พอ โดยให้มีอำนาจทุกเขตเลือกตั้ง และอาจไม่จำเป็นต้องทำ Primary Vote แต่เปลี่ยนเป็นการรับฟังความคิดเห็นสมาชิกพรรคในการส่งตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. เท่านั้น และในส่วนของการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็เช่นกันที่ดูจะขัดแย้งกับการให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองแต่ปรากฏว่ากฎหมายได้บังคับให้มีการชำระค่าบำรุงพรรคปีละ 100 บาทหรือตลอดชีพปีละ 2000 บาท ถือได้ว่าเป็นอุปสรรคกับพี่น้องประชาชนที่อยากมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองประเด็นนี้ก็จะมีการหยิบยกมาพูดคุยพิจารณาเช่นกัน