ทำไมต้อง 'สมรภูมิดินแดง' พื้นที่แนวรบม็อบไร้แกนนำ

เมื่อตำรวจยังใช้วิธีการในการสลายการชุมนุมแบบปะทะ จะทำให้การชุมนุมในลักษณะนี้ “ยืดเยื้อและไม่มีวันจบ
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีให้เห็นรายวัน ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งความเสียหายของที่อยู่อาศัย การดำเนินชีวิตประจำวัน ความไม่ปลอดภัย จนมีการออกมาเรียกร้องให้ยุติทั้งการชุมนุมและการปราบปรามบริเวณดังกล่าว
ท่ามกลางการตั้งคำถามของสังคมว่า เหตุใดต้องเลือกพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเป็นสมรภูมิในการเผชิญหน้ากัน
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเรามีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จะพบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยึดพื้นที่จุดนี้เป็นสมรภูมิในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยช่วงเช้าของวันที่ 13 เมษายน 2552 ทหารได้เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สามเหลี่ยมดินแดง โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ยึดรถประจำทางหลายสาย นำไปปิดแยกศรีอยุธยา ปิดล้อมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีผู้ชุมนุมบางส่วนได้ช่วยกันทำระเบิดเพลิง และนำรถแก๊สมาจอดที่หน้าแฟลตดินแดง ก่อนจะเปิดวาล์วและปล่อยแก๊สออกมา จนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแก๊ส โดยมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแฟลตดินแดงออกมาเรียกร้องให้นำรถแก๊สออกไปจากจุดนั้น
ต่อมาในปี 2553 พื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง ยังคงเป็นเป้าหมายที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เป็นพื้นที่แสดงสัญลักษณ์ในการต่อสู้ ตั้งแต่ช่วงดึกวันที่ 14 พฤษภาคม ยืดเยื้อสู่วันที่ 15 พฤษภาคม บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเป็นสมรภูมิการปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม ซึ่งมีผู้เสียชีวิตนับสิบรายและผู้บาดเจ็บเกินกว่า 100 ราย
+ความเชื่อในเชิงสัญลักษณ์ +
ข้อสงสัยที่ว่า ทำไมต้อง “ดินแดง” เรื่องนี้ คงจะไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่าคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น “สมบัติ ทองย้อย” หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง เขาระบุว่า จากการวิเคราะห์สาเหตุที่กลุ่มผู้ชุมนุมคนรุ่นใหม่เลือกสามเหลี่ยมดินแดง เพราะไม่ว่าจะไปจัดกิจกรรมชุมนุมที่ไหน ก็ต้องกลับมามีเหตุรุนแรงที่สามเหลี่ยมดินแดงตลอด เนื่องจากความเชื่อในเชิงสัญลักษณ์ว่า พื้นที่จุดนี้เคยมีการสลายการชุมนุม และกลายเป็นภาพจำของคนรุ่นหลัง จึงเลือกเป้าหมายการปะทะที่จุดนี้
ส่วนจะเป็นจุดยุทธศาสตร์หรือไม่ เขามองว่า เนื่องจากเป็นจุดที่มีทำเลดี มีทางเข้าออกมาได้หลายช่องทางก็มีส่วน เพราะทำให้ยากต่อการถูกจับกุม แต่ไม่น่าจะมีความเกี่ยวโยงกับในอดีตที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เคยเป็นอีกหนึ่งจุดรวมตัวของคนเสื้อแดง เพราะในตอนนั้น 2553 เด็กๆเหล่านี้ อายุยังน้อยและอาจจะไม่ทราบถึงเรื่องราวนี้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ยังไม่มีการพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่ก่อเหตุความรุนแรงเป็นกลุ่มไหน บางคนอาจมาด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ต้องการความรุนแรงและมีจุดประสงค์แอบแฝงเพราะหลายครั้งที่เกิดความรุนแรง มักจะเป็นช่วงที่แกนนำประกาศยุติการชุมนุมแล้ว แต่บางกลุ่มไม่ยอมเลิกด้วย โดยเด็กเหล่านี้ค่อนข้างมีความเป็นเอกเทศจากแกนนำชุมนุม และไม่ฟังแกนนำที่สั่งยุติชุมนุม
“ในความเป็นเอกเทศหรือไม่เอกเทศ มันก็จะมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเมื่อแกนนำประกาศประกาศยุติไปแล้ว ถ้ามันมีเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นมาปุ๊ป สังคมจะไม่มองว่าเด็กกลุ่มนี้มาจากไหนแต่จะมองว่าเด็กเหล่านี้คือกลุ่มคนของม็อบ เพราะคำว่าม็อบครอบอยู่ และนี่คือคนที่มาจากม็อบแต่ซึ่งคนที่จัดม็อบจริงๆ อาจจะไม่รู้เรื่อง เพราะแกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว”
หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง บอกอีกว่า ในภาษาการต่อสู้จะเรียกสายที่ใช้ความรุนแรงว่า “สายเหยี่ยว” และกลุ่มที่ชุมนุมด้วยความสงบจะเรียกว่า “สายพิราบ” ซึ่งหากยังมีสถานการณ์ความรุนแรงแบบนี้ต่อไป แน่นอนว่า จะทำให้สายพิราบ จะไม่ออกมาร่วมชุมนุม และตนมองว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาปฏิบัติการของสายเหยี่ยว
"ถ้าภาษาการต่อสู้เรียกว่า ในมุมของสายพิราบจะมองว่ายังไม่ถึงเวลาของสายเหยี่ยวที่จะมาถึงตรงจุดนี้ แต่ถ้าในกรณีของสายเหยี่ยวจะมองว่า เหมาะสมแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐตอบโต้มาสายเหยี่ยวก็ต้องตอบโต้กลับ มันจะเป็นแบบนั้น แต่พี่อยู่ได้ทั้งพิราบและเหยี่ยว แต่พี่มองว่าตอนนี้เราต้องอยู่ในสายพิราบ คือ สันติไปก่อนเพื่อระดมมวลชนออกมาให้ได้เยอะที่สุด เพราะหากมวลชนออกมาเยอะ ความชอบธรรมก็จะเกิดกับผู้ชุมนุม เมื่อความชอบธรรมเกิดกับขึ้นกับผู้ชุมนุม เนื่องจากคนออกมาเยอะ เพราะเห็นการกระทำต่างๆ ที่เห็นว่าสมควร พวกเขาก็จะเข้าร่วมด้วย มวลชนเหล่านั้นจะกลายเป็นเกราะและป้องกันม็อบ เพราะว่าม็อบสมควรที่จะได้รับการปกป้องและดูแล พาเดินให้ถึงจุดหมาย"
“สมบัติ ทองย้อย” ยังบอกอีกว่า ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมมีจำนวนลดลง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายครั้ง ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้มาชุมนุมน้อยลง เพราะสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้ทุกคนที่จะไปม็อบจะคิดว่า ถ้าไปร่วมม็อบจะมีอะไรหล่นใส่หัวไหม หรือจะมีระเบิด ก้อนหิน และลูกแก้วหรือเปล่าจึงทำให้คนบางส่วนไม่อยากมาร่วมม็อบ
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้โทรศัพท์ไปยัง “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ แกนนำการ์ดวีโว่ บอกว่า ตนไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงเหมือนกันว่า ทำไมน้องๆ ที่ไปก่อเหตุความรุนแรงจึงเลือกพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง แต่จากข้อมูลที่ได้รับ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า เป็นกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ดินแดง และละแวกใกล้เคียง ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการ์ดที่เป็นกลุ่มหลักของม็อบเลย ซึ่งเคยมีการพูดติดตลกว่า กลุ่มน้องๆที่ไปก่อเหตุอาจจะต้องการท้าทายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและต้องการท้าทายการนำตู้คอนเทนเนอร์ที่ตำรวจนำมาวางกั้นไว้ หากเจ้าหน้าที่ลองเอาตู้คอนเทนเนอร์ออก ก็รอดูว่าจะมีกลุ่มคนไปป่วนอีกหรือไม่
+ “ผู้การแต้ม”ชี้หากปะทะยืดเยื้อ-จบยาก +
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ “ผู้การแต้ม” เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ที่เคยรับบท “ด่านหน้าเจรจาม็อบ” และสามารถพูดคุยกับม็อบได้ทุกม็อบ จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง วิเคราะห์ว่า ตอนนี้ผู้ชุมนุมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่นัดรวมตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มที่นัดรวมตัวย่านดินแดง ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่าแตกต่างจากการชุมนุมในอดีตที่มีเป้าหมายชัดเจน ประกาศสถานที่ กิจกรรมอย่างชัดแจ้ง ทำให้ตำรวจสามารถวางแผนเข้าเจรจาได้กับทางแกนนำกลุ่มได้
การชุมนุมที่ “ดินแดง” ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เป็นการชุมนุมที่ไม่มีแกนนำอย่างแท้จริง เป็นการเรียกร้องอีกรูปแบบหนึ่ง เป้าหมายของกลุ่มนี้ไม่ได้มองในมุมกว้าง หรือภาพใหญ่ เหมือนกับการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือให้นายกรัฐมนตรีลาออก
การชุมนุมที่ดินแดงเป็นลักษณะเหมือนเด็กอาชีวะตีกับตำรวจ โดยผู้ชุมนุมอาจจะไม่ใช่เด็กอาชีวะทั้งหมด อาจจะเป็นวัยรุ่นที่คึกคะนอง อยู่ในวัยสนุก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีความหมายทั้งหมด คิดแต่จะสนุกอย่างเดียว เพราะกลุ่มวัยรุ่นบางส่วนอาจเป็นกลุ่มที่ผู้ปกครองได้รับผลกระทบจากการบริหารประเทศ เช่น ผู้ปกครองตกงาน ไม่มีเงิน ใช้ชีวิตลำบาก เขาจึงต้องการที่จะออกมาแสดงความอัดอั้น ความไม่พอใจ ในรูปแบบของพวกเขาเอง รูปแบบที่พวกเขาสามารถทำได้
ดังนั้นเมื่อตำรวจยังใช้วิธีการในการสลายการชุมนุมแบบปะทะ จะทำให้การชุมนุมในลักษณะนี้“ยืดเยื้อและไม่มีวันจบ เพราะกลุ่มวัยรุ่น เมื่อเห็นเพื่อนบาดเจ็บหรือถูกกระทำ ก็จะทำให้เกิดความฮึกเหิม ไม่พอใจ จะกลายเป็นแรงเสริมมากขึ้นไปอีก”
พล.ต.ต.วิชัย บอกอีกว่า เมื่อชุมนุมยืดเยื้อไปทุกๆ วัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ ตำรวจอ่อนแรง และจะมีปัญหาเรื่องขวัญกำลังใจ เพราะการวางกำลังรับมือผู้ชุมนุม จะต้องใช้กำลังจำนวนมาก รวมถึงต้องระดมกำลังจากต่างจังหวัดเข้ามา เมื่อเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องอยู่ห่างครอบครัว จะทำให้เสียกำลังใจมากขึ้น ที่สำคัญเมื่อเจอสภาพการทำงานที่กดดัน และการยั่วยุจากผู้ชุมนุม สภาพจิตใจจะแย่มากขึ้น และอาจจะทำให้เขามีอารมณ์ แล้วแสดงออกกับผู้ชุมนุม
อยากจะเตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ว่า จะต้องมีความหนักแน่น และอดทนให้มาก และผู้บัญชาการเองจะต้องให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้บังคับบัญชาด้วย ส่วนผู้ชุมนุมเองก็ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะการใช้ความรุนแรงต่อกันสองฝ่าย จะทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่มีทางที่ต่างฝ่ายต่างให้ใช้ความรุนแรงแล้วเหตุการณ์จะจบด้วยดี
และสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้การแต้ม เตือนน้องๆ ตำรวจก็คือ สุดท้ายแล้วคู่ขัดแย้งของผู้ชุมนุมไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นรัฐบาล
+ ด.ช.12 ปี ทำไมต้องร่วมม็อบ +
ขณะที่การชุมนุมของม็อบในช่วงหลังๆ จะพบว่า มีเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมาก โดยที่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเจออะไรในเหตุการณ์การชุมนุม
ในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงต่อเนื่องมายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผูุ้สื่อข่าวได้พบว่ามีเยาวชนอายุ 12 ปี จึงสอบถามสาเหตุที่เข้าร่วมชุมนุม ก็ได้รับคำตอบว่า เพราะรุ่นพี่แถวบ้านชวนมาก็เลยตามมาด้วย และไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเขามาทำอะไรกัน และไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงอะไรหรือไม่ รู้แค่เพียงว่า รุ่นพี่ชวนให้มา
เมื่อถามเด็กชายอีกว่า ครอบครัวรู้หรือไม่ที่มาร่วมชุมนุม หรือมีการตักเตือนถึงความอันตรายเด็กชายคนนี้ตอบว่า แม่บอกแค่ว่าให้ดูแลตัวเองดีๆเท่านั้น และที่น่าวิตกกว่านั้นคือ เด็กชายคนนี้ที่ตามรุ่นพี่มาร่วมชุมนุมกลับถูกทิ้งไว้ หลังจากตำรวจเริ่มสลายการชุมนุม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมไม่กลับบ้าน เด็กชายบอกว่า “ผมรอรุ่นพี่มารับ แต่ผมโทรหารุ่นพี่แล้วเขาบอกมารับไม่ได้แล้ว เขาออกไปแล้ว” สุดท้ายเด็กชายคนนี้ได้มาสอบถามรถแท็กซี่ที่จะกลับบ้านแถวรามอินทรากับผู้สื่อข่าวว่าราคาเท่าไร เพราะน้องมีเงินติดตัวอยู่แค่ 100 บาท
+ จุดปะทะบนความเดือดร้อนชุมชน +
อีกด้านคือผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมและการปะทะ ชุมชนที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นได้รับเดือดร้อน จนกระทั่งมีตัวแทนเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยธรรม สภาผู้แทนราษฎร โดยตัวแทนจากคอนโด แคปปิตอล ราชปรารภ-วิภาวดี ซึ่งอยู่ใกล้แนวปะทะ ได้ให้ข้อมูล กมธ.ว่า ผู้พักอาศัยเดือดร้อนจากการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางของเจ้าหน้าที่ การปาก้อนหิน พลุไฟของกลุ่มผู้ชุมนุม
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจ พบว่าสภาพอาคารเสียหายหลายจุด กระจกบานใหญ่หลายบานแตกถูกกระแทกจากของแข็ง ไม้ระแนงถูกเจาะเป็นรูจากของแข็ง และระเบิดปิงปอง กล้องวงจรปิดได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 3 ตัว ล่าสุดทางคอนโดฯ ได้นำแสลนผ้า มาปิดบริเวณประตูทางเข้า และบริเวณด้านใน เพื่อป้องกันการถูกขว้างปาสิ่งของเข้ามา
ทั้งนี้บริเวณที่ตั้งของคอนโด แคปปิตอล ราชปรารภ-วิภาวดี อยู่ใกล้จุดตัดแยกถนนวิภาวดีและถนนดินแดง ใกล้แนวปะทะ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.64 ตำรวจได้ตั้งแบริเออร์ แนวคอนเทนเนอร์ วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน(คฝ.) ใกล้ด้านหน้าของคอนโดฯ จึงกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ขณะที่ทางเข้าคอนโดมีทางเข้า 2 ทาง ทางเข้าหลักคือ บริเวณด้านหน้าที่อยู่ติดกับแนวปะทะเมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม แน่นอนว่า ผู้ที่พักอาศัยจะไม่สามารถกลับเข้าที่พักบริเวณด้านหน้าได้ ต้องอ้อมไปเข้าประตูด้านข้างของคอนโดฯ แทน
ผู้สื่อข่าวสอบถามข้อมูลจากตัวแทนนิติบุคคลของคอนโด “สิริณัฏฐ์ ภาสวัสดิ์” เธอบอกว่าตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลช่วยเหลือ ทางนิติบุคคลจึงต้องนำแสลนผ้ามาขึงป้องกันไว้เบื้องต้น และให้ผู้พักอาศัยใช้ประตูด้านข้างเข้าออกที่พักแทน และเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะขึ้นตำรวจจะเคลียร์พื้นที่บริเวณโดยรอบคอนโดฯ และปิดประตูทางเข้าด้านข้าง ที่เป็นเส้นทางเข้าออกเดียว ทำให้ผู้พักอาศัยได้รับความลำบาก
ส่วนเรื่องของความปลอดภัย ทุกคนในคอนโดยังกังวลกับเรื่องนี้ เพราะเหตุปะทะแต่ละครั้งตำรวจใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะใช้พลุไฟและก้อนหิน ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาก และสิ่งที่น่ากังวลอีกหนึ่งเรื่อง ก็คือ ภายในคอนโดแห่งนี้ มีบุคลากรทางการแพทยท์อาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะใกล้โรงพยาบาล มีทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่แลปต่างๆทำให้ต้องเช็คสถานการณ์กันตลอดว่าเข้าออกได้เวลาไหน ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเวรในช่วงกลางคืน ไปปฏิบัติหน้าที่ลำบาก
ข้อมูลจาก “พรจันทร์ เรืองพรพิณไสว” รักษาการประธานกรรมการคอนโด เปิดเผยว่า ผู้พักอาศัยในคอนโดกังวลเรื่องความปลอดภัย และการเดินทางลำบาก รวมถึงการจะออกไปจับจ่ายซื้ออาหารการกินก็ลำบาก แม้จะสามารถสั่งซื้ออาหารจากแอพพลิเคชั่นได้ แต่พอเกิดเหตุปะทะพนักงานส่ง ก็ไม่สามารถเข้ามาส่งของได้ ที่สำคัญภายในคอนโดมีผู้สูงอายุและเด็ก ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างมาก
“ทุกคืน ทุกวัน รบกวนมาก เราไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้ามาใช้พื้นที่เราทำอะไร ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม แต่เราก็ไม่โอเคกับสถานการณ์แบบนี้นานๆเพราะมันกระทบกับชีวิตประจำวัน แล้วเมื่อไหร่จะจบก็ไม่ทราบ เราก็อยากให้ผู้ชุมนุมชุมนุมแบบไม่มีอาวุธจริงๆ เดินชุมนุมเดินประท้วงเราไม่ว่ากัน ตำรวจก็ใช้ยุทธวิธีปราบจลาจลตามขั้นตามตอน มีชุมนุมได้แบบสงบ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะมันเดือดร้อนจริงๆ ชีวิตก็ไม่มีความสุขนอนก็ไม่หลับเพราะเสียงมันดังไกลมาก แล้วก็แก๊สน้ำตาตำรวจยิงมา แต่ผู้ชุมนุมก็ปากลับมาปากันไปปากันมา ควันหลงเข้าคอนโด ก็แสบตา ห้องอยู่ชั้น 7 ก็ยังไม่รอด” พรจันทร์ ระบุ
+ วินจยย.-แม่ค้าในพื้นที่หากินไม่ได้ +
นอกจากนี้ ในซอยตลาดศรีวานิช และบริเวณชุมชนใกล้กับวัดตะพาน ซึ่งเป็นอีกจุดที่อยู่ใกล้แนวปะทะเช่นเดียวกัน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของผู้สื่อข่าว ชาวบ้านหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม ทั้งการถูกกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และประทัด รวมถึงก้อนหิน ทำให้การใช้ชีวิตของพวกเขาจากเดิมที่เคยอยู่นอกบ้านได้จนถึงเวลาเคอร์ฟิว (21.00 น.) แต่หากมีการชุมนุมก็ต้องรีบกลับเข้าบ้าน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จึงทำให้การค้าขายที่เป็นอาชีพหลักของคนแถวนี้ ต้องปิดร้านเร็วกว่ากำหนด
แม่ค้าตลาดศรีวานิชรายหนึ่ง สะท้อนปัญหาว่า "แย่มากเลยนะขายของไม่ได้เลย ลำบากมากต้องหยุดขายมาตลอด มีวันหนึ่งลงทุนมา ไม่ได้ขายของก็ต้องทิ้ง บางทีก็ต้องแจกเพื่อนๆ ดีกว่าทิ้ง ทำออกมาก็ต้องเก็บเลยเพราะแก๊สน้ำตาที่ลอยมา เราก็ไม่รู้ว่าจะกินได้หรือไม่ ขนาดเราดมเรายังแสบเลย อยู่บ้านก็เดือดร้อนเพราะลมพัดแก๊สน้ำตาเข้ามา
ขณะที่จักรยานยนต์รับจ้างรายหนึ่ง บอกว่า “เมื่อเข้ามาชุมนุมกันเยอะๆ ก็ขับวินไม่ได้ โดนหาว่าอยู่ในกลุ่มเขา ถ้าผมไม่ใส่เสื้อวิน ผมโดนแน่นอน พ่อค้าขายผัดไทยเขายังโดนตำรวจสงสัยส่วนแก๊สน้ำตา แสบตาไปหมด ซอยเล็กๆ แบบนี้ บางครั้งตำรวจยิงเข้าไปในซอยเลย”
ความเดือดร้อนจากประชาชนบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง แม้ล่าสุดฝ่ายตำรวจ โดย ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งปรับยุทธ์วิธี รื้อแนวกั้นตู้คอนเทนเนอร์ออกไปทั้งหมด เพื่อลดเงื่อนไขการชุมนุมและการสลายม็อบ แต่ก็ยังต้องลุ้นกันรายวันว่า พื้นที่นี้จะสงบได้นานแค่ไหน เมื่อกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ที่ไม่อาจลบประวัติศาสตร์ไปได้







