“คาร์ปาร์ก-สมบัติทัวร์”โชว์  ไล่ “ประยุทธ์” ให้เด็กมันดู

“คาร์ปาร์ก-สมบัติทัวร์”โชว์  ไล่ “ประยุทธ์” ให้เด็กมันดู

สถานการณ์ที่พลิกผัน ทำให้มืออาชีพรุ่นเก๋า ใช้จังหวะเปลี่ยนเกมนอกสภา ประสานเครือข่าย จัดขบวนการชุมนุม วางตัวแกนนำ บริหารจัดการอย่างมีระบบ มุ่งเป้าเดียวชัดๆ “ไล่ประยุทธ์”

ประสานเสียงรับกันเป็นทอด ตั้งแต่นายกฯแดนไกล “โทนี่ วู้ดซัม” ออกปากชมไอเดีย “คาร์ม็อบ” ของ “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ว่า “เข้าท่า” กระทั่งนำมาสู่ปฏิบัติการต่อยอดเป็น “คาร์ปาร์ก” ของ “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ “บก.ลายจุด” ที่เริ่มกิจกรรมคาร์ม็อบ “สมบัติทัวร์” ล้อกับชื่อจริงของเขา แม้เป้าหมายแรกเริ่มจะเป็นการทดสอบกระแส แต่ปฏิบัติการนี้กลับจุดติด เพราะมีแนวร่วมขานรับอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลที่รองโฆษกตำรวจระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ว่า สรุปถึงกิจกรรมคาร์ม็อบเกิดขึ้นใน 40 จังหวัดทั่วประเทศ แม้จำนวนจะไม่มากแค่หลักหมื่น แต่ก็เป็นปรากฎการณ์ที่น่าจับตา

แนวทางนี้ บก.ลายจุด มองว่าปลอดภัยทั้งในสถานการณ์โควิด และลอดช่องกฎหมายได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่พ้นถูกสบประมาท เมื่อไม่เอาด้วยกับม็อบเยาวชน ทำนองว่า “ถ้ากลัวก็ถอยออกไป”

หลังจากที่เขาพยายามสื่อสารผ่านทวิตเตอร์ บก.ลายจุด @nuling เตือนสติเมื่อเกิดเหตุปะทะที่สมรภูมิดินแดงรายวันว่า “การเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าเสียความชอบธรรม เพราะแนวร่วมจะหดแคบลง เมื่อโดดเดี่ยวจะถูกทำลายล้างโดยง่าย” แม้จะรู้ว่า ปฏิริยาโต้กลับจากฝ่ายเดียวกัน ถาโถมใส่ จากคนที่เชื่อในทฤษฎี “จลาจลเพื่อการเปลี่ยนแปลง”

เมื่อถูกวิพากษ์ท่าที “บก.ลายจุด” เจ้าของไอเดียคาร์ม็อบ จึงบอกเล่าสิ่งที่ตัวเขาเผชิญในช่วงปี 2553

“ช่วงที่ทหารสลายการชุมนุมปี 53 มีประชาชนโดนยิงเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ผมเป็นคนไปตั้งเวทีย่อยที่เวทีสามเหลี่ยมดินแดง ระหว่างที่ปราศรัยบนรถหกล้อ ผมเห็นคนโดนยิงโดนแบกออกมาเป็นระยะ เกือบทุกครั้งผมมองขึ้นไปบนตึกสูง ถามตัวเองว่าจะโดนสไนเปอร์ยิงมาจากด้านบนที่ใดที่หนึ่งหรือเปล่า” นี่คือภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุม บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง-ถนนราชปรารภ ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค.2553

พร้อมกับตอบคำถามเชิงสบประมาททำนอง “ถ้ากลัวก็ถอยออกไป” ว่า ... “คำถามจึงไม่ได้อยู่ตรงที่กลัวหรือกล้าหรือเปล่า มันอยู่ตรงที่เราประเมินแล้วว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ นี่เฉพาะชีวิตของเราคนเดียว ไม่รวมชีวิตของผู้คนที่อยู่รอบตัวเราหรือมวลชนที่ตามเราออกมา ความรับผิดชอบเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้นำต้องแบกรับ”

"หลายคนอาจไม่เคยประสบเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดง ด้วยกระสุนจริง ไม่ใช่กระสุนยาง และแก๊สน้ำตา เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นเวลา มีคนด่าผมว่าผมปอดแหก ขี้กลัว เป็นพวกโลกสวย เลี้ยงไข้ ผมขอใช้ข้อความข้างบนนี้อธิบายข้อกล่าวหาเหล่านั้น ผมเรียนรู้ว่านอกจากจิตใจที่ต้องกล้าหาญแล้ว เราต้องใช้สติปัญญาในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง”

บก.ลายจุด ย้ำว่า “การไปยืนอยู่หน้าบ้านของประยุทธ์ ไม่ได้ทำให้ประยุทธ์ลาออก แต่การที่ประชาชนออกมาตะโกนไล่ประยุทธ์ทุกหนแห่งต่างหากที่จะทำให้ประยุทธ์ ต้องลงจากอำนาจ”

ล่าสุด 14 ส.ค.ก่อนผนึกกับคาร์ปาร์ก เขาออกมาย้ำถึงชอบธรรมในการต่อสู้ของม็อบที่สะท้อนว่าความรุนแรงไม่อาจเอาชนะ  "ความชอบธรรมของม็อบจะกลายเป็นกองกำลังได้ต่อเมื่อสามารถขยายแนวร่วมได้อย่างกว้างขวาง ปิดล้อมกองกำลังประยุทธด้วยประชาชนหมู่มากของประเทศ ชนะโดยไม่ต้องปะทะ เป็นการชนะทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณทางการเมือง ต่อให้ประยุทธไม่ลาออก พลังของประชาชนจะตัดสินชะตาชีวิตผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า"

162893790360

สอดรับกับ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" สายตรงนายกฯ แดนไกล แกนนำคาร์ปาร์ก ที่สะท้อนภาพเปรียบเทียบการชุมนุมในอดีต ระหว่างม็อบกับตำรวจว่า

“การต่อสู้ในรุ่นผมเรามีไมตรีกัน ออกเวรแล้วพี่น้อง คฝ.(ตำรวจควบคุมฝูงชน) พากันพกตีนตบ หัวใจตบ เข้าร่วมชุมนุม บรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปราวกับคู่อริที่พบหน้ากันไม่ได้ เหมือนมีคำสั่งให้ทำลายภาพการแสดงพลังของประชาชนในแต่ละครั้งด้วยภาพความรุนแรงในช่วงท้าย”

พร้อมกับเตือนสติม็อบรุ่นน้องที่กำลังเข้าไปอยู่ในเกมที่เสียเปรียบว่า “...พึงตระหนักว่า การปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนี้ คือเจตนาของผู้มีอำนาจ ความชอบธรรม และเชื่อมั่นของรัฐบาลหมดสิ้น เขาสู้ทางการเมืองไม่ได้แล้วจึงสร้างเกมปะทะด้วยกำลัง เปลี่ยนภาพจากถูกคนขับไล่เป็นการรักษาความสงบควบคุมการจลาจล ผมเคารพวิจารณญาณของประชาชน และเชื่อมั่นว่าความอดทนอดกลั้น ทันเกม จะเป็นปัจจัยสำคัญสู่ชัยชนะได้”

คำเตือนของรุ่นใหญ่ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลประยุทธ์ ที่ส่งสัญญาณมาตั้งแต่นายกฯ แดนไกล แตะเบรกม็อบเยาวชนระวังกับดัก ที่อาจถูกวางล่อ แต่ก็ไม่เป็นผล แนวทางของ “ม็อบไร้แกนนำ” ที่พยายามต่อสู้บนถนนกลับยิ่งถูกด้อยค่า

หลายฝ่ายจึงประเมินว่า ม็อบ 15 สิงหา คาร์ปาร์ก 2 ขบวน “เต้น ณัฐวุฒิ-บก.ลายจุด” จะมีมวลชนเข้าร่วมมากกว่าม็อบเยาวชนที่ผ่านมา และประสบการณ์ของแกนนำม็อบที่ผ่านหลายสมรภูมิชุมนุมมา น่าจะบริหารจัดการได้ดีกว่า เพราะจุดอ่อนของม็อบในช่วงที่ผ่านมายังสื่อสารไม่ชัด ว่ามีเป้าหมายและข้อเสนออย่างไร หากไล่นายกฯประยุทธ์ออกไปได้ หรือแม้แต่ประเด็นปฏิรูปสถาบันที่วิธีเรียกร้องทะลุเพดาน จนส่งผลให้แนวร่วมคนชั้นกลางหดหาย

ฉะนั้น จุดอ่อน ข้อด้อยเหล่านี้ที่กำลังส่งผลให้ม็อบเยาวชนไร้แกนนำถูกลดพลังลงเรื่อยๆ หลังจากเกิดเหตุรุนแรงในการชุมนุมรายวันจนฝ่ายเดียวกัน ทั้งม็อบบนถนนและม็อบ WFH เสียงแตก อีกทั้งแกนนำก็พร้อมใจกันม็อบตัวคดีชุมนุม เข้าไปพักยกในเรือนจำ

สถานการณ์ที่พลิกผันนี้ จึงทำให้มืออาชีพรุ่นเก๋า ใช้จังหวะเปลี่ยนเกมนอกสภา เพื่อพลิกสถานการณ์ม็อบไร้แกนนำ มีการเร่งประสานเครือข่าย จัดขบวนการชุมนุม วางตัวแกนนำคุมแต่ละเวที บริหารจัดการอย่างมีระบบ ใช้รูปแบบการปราศรัยที่เป็นจุดขาย สร้างจุดร่วมเพื่อดึงมวลชน

โดยมุ่งเป้าหมายเดียวชัดๆ “ไล่ประยุทธ์” ให้เด็กมันดู งานนี้คณะที่ปรึกษา และสปอนเซอร์อย่างไม่เป็นทางการ แน่น!