"พล.อ.ประยุทธ์" แจงกำกับใช้ "งบกองทัพ-เรือดำน้ำ" ตามระเบียบ-โปร่งใส

"พล.อ.ประยุทธ์" แจงกำกับใช้ "งบกองทัพ-เรือดำน้ำ" ตามระเบียบ-โปร่งใส

นายกฯ แจงสภาฯ ปมใช้งบกองทัพ-เรือดำน้ำ ยืนยันกำกับให้โปร่งใส ยึดระเบียบ ระบุ เดินหน้าซื้อเรือดำน้ำ เพราะมีเหตุจำเป็น

        พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภา ซึ่งพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล  ในประเด็นข้อกล่าวหาการละเลยกำกับการบริหารของหน่วยงานภายใต้กำกับของกระทรวงกลาโหม ในโครงการจัดซื้อรายการต่างๆ ซึ่งฝ่ายค้าน โดยนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่ามีการทุจริตเป็นค่าส่วนต่างมากถึง 1,000 ล้านบาท ว่า การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภายในกองทัพนั้นเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีผู้นำเหล่าทักดูแล ส่วนตนฐานะรมว.กลาโหม ระบุให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ทั้งนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่รับเงินที่ไม่สุจริต
 
 
        พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงด้วยว่ากรณีเหมืองหินเก่า ที่กองทัพเรือให้สัมปทานกับผู้ประกอบการที่พบว่าทำผิดสัญญา ว่า สัญญาดังกล่าว มีระยะเวลา 5 ปี แต่ทำสัญญาต่อปี ส่วนกรณีที่กองทัพเรือต่อสัญญาผู้ประกอบการฯ เพราะได้ปรับปรุงเเหมือง และโรงโม่ ที่ไม่ได้มาตรฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ เพราะหากไม่ปรับปรุงอาจได้รบผลกระทบต่อกองทัพเรือฐานะผู้ถือประทานบัตรใช้ประโยชน์จากหิน ที่ต้องใช้หินเป็นจำนวนมากได้  อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาภาพรวมแล้วพบว่าทำให้กองทัพเรือได้ประโยชน์ เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนการฟ้องร้องค่าเสียหายนั้นตามสัญญากองทัพเรือยังสามารถฟ้องร้องและผู้ประกอบการมีเครื่องมือที่สามารถฟ้องร้องชดใช้ได้
        พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อว่า ในประเด็นการจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่า กรณีที่ระบุว่าไม่ควรนำงบประมาณซื้ออาวุธและควรช่วยประชาชนเรื่องโควิด-19 นั้น ต้องแยกแยะสถานการณ์ คือ ส่วนของโควิด-19  และส่วนของความมั่นคง   ทั้งนี้ที่พูดกันว่ารัฐนำเงินไปซื้ออาวุธ ต้องเข้าใจว่ารัฐต้องกำหนดทิศทางในหลายมิติ สำหรับการซื้อเรือดำน้ำนั้น มีความจำเป็นที่ต้องปกป้องอธิปไตยของประเทศ  รักษาทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล ซึ่งหมายถึงทะเลฝั่งอันดามัน หากดำลึกไม่ได้ ก็ดำตื้นและลอยตัวเหนือน้ำ โดยความสำคัญคือ ต้องตรวจตรามั่นคง การค้ามนุษย์ทางทะเล  ทั้งนี้เมื่อ 12 กรกฎาคม 2563 พบว่ามีเรือดำน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาค้นหาโรฮิงญาในพื้นที่ทะเลอันดามัน ซึ่งเขาเข้ามาทางใต้น้ำ แต่ไม่อยากว่าเขา
        "การกระทบกระทั่งเกิดขึ้นได้ตลอด อาจเกิดสงครามได้ เหมือนบางภูมิภาคที่เกิดขึ้น  สำหรับการจัดซื้อดำน้ำ ทำสัญญาจ่ายเงินเป็นงวด และผ่อนชำระ และใช้เวลา 6ปี กว่าจะสำเร็จ รวมถึงต้องส่งเจ้าหน้าที่เพื่อเรียนรู้ ประกอบเรือ ดูการก่อสร้าง คนที่ลงไเรือดำน้ำเสี่ยง แต่เป็นหน้าที่ เป็นความภาคภูมิใจ ดังนั้นควรภูมิมิใจในความเป็นชาติ อธิปไตย อดีตปัจจุบัน ทำลายทำไม ขอร้องด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง
        นายกฯ​ชี้แจงเรื่องเรือดำน้ำเพิ่มเติมด้วยว่า กรณีไม่ซื้อเรือดำน้ำ ลำที่สอง สาม ไม่ต้องเสียปรับ แต่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ เพราะลงนามแบบจีทูจี  สำหรัรบการจัดซื้อเมื่อเทียบผลประโยชน์ทางทะเล ที่มีมูลค่ากว่า  24ล้านล้านบาท ส่วนการรลงทุนซื้อเรือดำน้ำ มีมูลค่า 0.093% เท่านั้น ดังนั้นถือว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ความมั่นคง นอกจากนั้นการจัดซื้อเรือดำน้ำถือว่าคุ้มค่า เพราะติดตั้งระบบดาวเทียม อาวุธ ทุ่นระเบิด ระเบิดตอปิโด ที่คิดมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท แต่ไทยไม่ได้เพิ่มวงเงิน ที่บอกว่าตัดงบม้่นคงไม่จำเป็น ตนมองว่าทำไม่ได้ เพราะต้องเพิ่มศักดิ์ภาพของกองทัพ เนื่องจากสถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลง
 
        พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อประเด็นทางการเมืองด้วยว่า การบาดเจ็บและสูยเสียกำลังพล ตนเสียใจ ทั้งนี้ปัจจุบันมีความรุนแรง ในสังคมจำนวนมาก หากยุแหย่ และคนชินกับความรุนแรง ทนกับการใช้กำลัง ต่อต้านกฎหมายจะอยู่กันอย่างไร 
          “ทุกคนทำงานเต็มที่ มีวิธีบริหารงานที่เหมาะสม ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ ดังนั้นการใช้สิทธิเสรีภาพ ชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่น  อย่าใช้ความรุนแรง ผมเห็นเป็นคนไทย เป็นผู้ร่วมชาติ แต่เขาคิดถึงผมแบบนั้นหรือไมไม่แน่ใจ แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ เจตนาดี หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้หมด” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง.