ฝ่า พ.ร.ก. 'เลี้ยงกระแสม็อบ' เว้นวรรคยาวชุมนุมใหญ่
เมื่อการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากนี้ จะเป็นลักษณะแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์
การเคลื่อนไหวชุมนุมจากกลุ่ม “การ์ดปลดแอก” ประมาณ 100 คนในช่วงเย็นของวันที่ 16 ม.ค.ที่บริเวณแยกสามย่าน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมในท้องที่ สน.พญาไท เป็นสถานการณ์ล่าสุดในการจัดชุมนุมเรียกร้องกดดันรัฐบาลข้ามปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการระบาดของโควิดรอบใหม่ และภายใต้ข้อกำหนด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
ไม่ใช่แค่ความเคลื่อนไหวจากแนวร่วม “การ์ดปลดแอก” เพียงอย่างเดียว แต่กลุ่ม “มวลชนอาสา” We Volunteer เคยนัดทำกิจกรรมตั้งแต่วันสิ้นปี 31 ธ.ค.2563 ในกิจกรรมขายกุ้งที่ท้องสนามหลวง เพื่อต่อยอดกระแสกุ้ง “ราคาตก” จากเหตุการแพร่ระบาดจากแรงงานต่างด้าวในตลาดกุ้ง ที่ จ.สมุทรสาคร
การเคลื่อนไหวระลอกนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการช่วงชิงกระแสการชุมนุม ในช่วงที่กลุ่ม “คณะราษฎร” นำโดย “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ “เว้นวรรค” ชุมนุมใหญ่มาตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2563 ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ภายหลังการเคลื่อนไหวแต่ละกลุ่มไม่ได้เชื่อมโยงเป็นแนวร่วมเดียวกันทั้งหมด
โดยเฉพาะสิ่งที่ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำคณะราษฎร ออกมายืนยันว่าการประกาศรวมตัวที่สามย่านที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มราษฎร หรือแกนนำคนใด
เห็นได้ชัดว่า การประกาศตัวเคลื่อนตัวของกลุ่มย่อยนั้น นอกจากการต่อต้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2563 มีการเคลื่อนไหว “ทางลับ” ในสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อปลุกแคมเปญยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาที่ถูกแจ้งไปยังแกนนำและแนวร่วมคนสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงไล่เก็บหลังฐานเพื่อเดินหน้าดำเนินคดี
ยุทธวิธี “ดาวกระจาย” ครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งไล่ล่าติดตามแกนนำเพื่อแจ้ง “ข้อหาหนัก” ไปยังแกนนำที่เคลื่อนไหว จนถึงท่าทีล่าสุดที่กลุ่มมวลชนมาร่วมชุมนุมบริเวณหน้า สภ.คลองหลวง เพื่อกดดันการปฏิบัติงานของตำรวจ พร้อมนำธงชาติลงจากยอดเสา และนำเอาผ้าสีแดงคล้ายธง มีข้อความว่า “112” ขึ้นไปแทน
ทำให้ระหว่างนี้ นอกเหนือจากการแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จากกิจกรรมย่อยที่จัดขึ้น ฝ่ายความมั่นคงยังเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาเข้าข่ายมีความผิดตามข้อกำหนด ซึ่งออกตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งห้ามชุมนุม ทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่สำคัญการ “ปลดธงชาติ” ยังเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมาย ข้อหาฝ่าฝืนการใช้ ชัก หรือแสดงธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยหรือชาติไทย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ.2522 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การเคลื่อนไหวในรอบนี้ หลายฝ่ายประเมินว่ามาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังพบเพิ่มทุกวัน ย่อมเป็นช่วงที่การนัดชุมนุมร่วมตัวมวลชนทำได้ยากขึ้นกว่าเดิม แต่ปรากฏการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ม.ค.เป็นสัญญาณแรกที่ดังขึ้นมา “ม็อบ” พร้อมจะกลับมาชุมนุมอีกครั้ง ถึงแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดในประเทศยังพุ่งไม่หยุดก็ตาม
“รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองการเคลื่อนไหวชุมนุมขณะนี้ว่า การชุมนุมล่าสุดนั้นไม่ใช่เป็นการชุมนุมใหญ่ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่มาจากกลุ่มแกนนำเท่านั้น เป็นสิ่งที่แกนนำไม่ต้องการให้การเคลื่อนไหวชุมนุมหายไป จากที่หายก่อนหน้านี้รวมถึงในสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นด้วย แต่จากนี้จะได้เห็นการจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่เชื่อว่าการชุมนุมใหญ่เหมือนที่ผ่านมาจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่น่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นไป
รศ.ดร.ยุทธพร ประเมินด้วยว่า ขณะที่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมไม่ได้ให้ความสำคัญ และได้ผ่านเงื่อนไขตรงนี้ไปแล้ว แต่การเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นจากนี้จะเป็นลักษณะแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ มากกว่า.