'ส.ว.คำนูณ' ข้องใจคดี 'บอส อยู่วิทยา' 8 ปีพยานโผล่ จี้กู้ศักดิ์ศรีกระบวนการยุติธรรม

'ส.ว.คำนูณ' ข้องใจคดี 'บอส อยู่วิทยา' 8 ปีพยานโผล่ จี้กู้ศักดิ์ศรีกระบวนการยุติธรรม

เกาะติดประเด็นร้อน! "คำนูณ" เตือนคดี "บอส อยู่วิทยา" อย่าประมาทความรู้สึกประชาชน ข้องใจ 8 ปีพยานโผล่ จี้กู้ศักดิ์ศรีกระบวนการยุติธรรม

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 63 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่สั่งฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอสอยู่วิทยา ในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ผ่านเจาะลึกทั่วไทยอินไซต์ไทยแลนด์ ว่า ข้อหาสุดท้ายคือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งจะหมดอายุความในปี 2570 การสั่งไม่ฟ้องครั้งนี้จึงมีปัญหาอย่างยิ่ง เท่าที่ดูสำนวนคดีของอัยการพอสรุปได้ว่ามีพยานใหม่ 4 คน โดยมีนายตำรวจ 2 คนซึ่งมาหักล้างพยานเก่าที่บอกว่ามีการขับรถด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่บอกว่า นายวรยุทธ มีการขับรถด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

กรณีนี้มีเหตุอันควรวสงสัยตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เพราะข้อกล่าวหาสุดท้ายที่เป็นประเด็น คือ การประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและอายุความถึง 2570 การสั่งไม่ฟ้องจึงเป็นปัญหาอย่างยิ่ง เท่าที่อ่านจากการสั่งคดีของอัยการนั้นพอสรุปได้ว่ามีพยานใหม่ขึ้นมา 4 คน แบ่งเป็น สองคนเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นนายตำรวจ หักล้างพยานผู้เชี่ยวชาญโดยให้ความเห็นว่าได้ตรวจสอบจากสภาพรถที่ถูกชนแล้วยืนยันว่าเป็นการขับรถไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และพยานอีกสองคนเป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันว่าดาบตำรวจที่เสียชีวิตได้ขับรถปาดกระชั้นชิดเป็นเหตุสุดวิสัย อัยการจึงบอกว่าเฟอร์รารี่ขับมาด้วยความเร็วตามกฎหมาย เมื่อถูกปาดหน้ากระชั้นชิด การชนจึงเป็นเหตุสุดวิสัยไม่เป็นความประมาท ผู้ที่ประมาท คือ นายดาบตำรวจวิเชียร

ตั้งแต่ปี 2555 ในชั้นพนักงานสอบสวนเค้าล้างดูได้จากหนังสือสั่งไม่ฟ้องของ สน.ทองหล่อ แล้ว นายดาบผู้เสียชีวิตเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ส่วน นายวรยุทธ เป็นผู้ต้องหาที่ 1 ตั้งต้นคดีเป็นการประมาทร่วม เมื่อดำเนินการสอบสวนไปตำรวจสั่งไม่ฟ้องในข้อหาเมาแล้วขับ ส่วนข้อหาที่เหลือขาดอายุความไป และข้อหาสุดท้ายเรื่องความประมาทก็ถูกหักล้างด้วยพยานใหม่ 4 ปาก ดังนั้น จากประมาทร่วมจึงกลายเป็นประมาทคนเดียว คือ ดาบตำรวจวิเชียร ส่วน นายวรยุทธ ไม่มีความประมาทเลย

"เหตุผลที่อัยการท่านสั่งผมรับไม่ได้ วิญญูชนทั่วไปก็รับไม่ได้ ท่านไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่าเหตุใด 4 คนนี้ โดยเฉพาะประจักษ์พยานถึงเพิ่งมา เมื่อ 8 ปีก่อนเกิดข่าวดังมากทำไมไม่มา เพราะฉะนั้นโดยปกติแล้วคดีนี้แบบนี้ในสำนวนของพนักงานสอบสวนและอัยการที่ไม่ได้เปิดเผยทั่วไป เมื่อมีเหตุสงสัยก็ควรฟ้องคดีต่อศาล ไปแก้ต่อศาล ให้พยานขึ้นให้ปากคำ ทนายจะได้ซักค้าน ศาลจะได้เห็น การตัดตอนคดีไม่ให้ถึงศาลเป็นเรื่องผิดปกติ

"พูดกันตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อม วิญญูชนทั้งหมดคนที่เรียนหรือไม่ได้เรียนกฎหมายเห็นคดีตั้งแต่ 8 ปีก่อนแล้วว่าทุกคนเชื่อในใจว่าเรื่องนี้ไม่ปกติธรรมดา มีความพยายามทำให้ผู้ต้องหาพ้นผิดหรือไม่ต้องรับโทษ สามารถไล่เรียงเหตุการณ์ได้ตามลำดับ แต่เราไม่สามารถพูดได้เพราะมันไม่มีหลักฐาน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ ความอับอาย ความอึดอัด ความคับข้อง อารมณ์คุกรุ่นของสังคมไทยโดยรวมทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ผม"

"จึงเสนอว่าเรื่องนี้อย่าประมาทประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามลำบากจากโรคระบาดและเศรษฐกิจ อารมณ์คนเปลี่ยนแปลงง่าย นายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร อะไรที่เกิดขึ้นในสังคมที่จะนำไปสู่เหตุการณ์อะไรไม่รู้ ท่านสามารถออกมายับยั้งได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ท่านจะดำเนินการตรวจสอบขั้นตอนก่อนถึงชั้นอัยการ และการที่อัยการสูงสุดดำเนินการตรวจสอบย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าให้ความดีนี้เสียไปด้วยการตรวจสอบเป็นเดือนๆเป็นปีๆ ต้องทำเร่งด่วน"

"การสั่งคดีของอัยการเป็นอำนาจโดยเด็ดขาด แต่อำนาจต้องตั้งอยู่พื้นฐานของความเป็นธรรม ใครทำไม่ถูกก็ต้องดำเนินการ ส่วนการรื้อฟื้นคดีก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหม่และการตีความว่าข้อเท็จจริงใหม่คืออะไร อยากจะบอกว่าสังคมไทยเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมเป็นเรื่องเหนือการเมือง เหนือสีและอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยและการสืบทอดอำนาจ แม้คนต่างสีต่างฝ่ายจะคิดเห็นแตกต่างกันแต่สำหรับเรื่องนี้แล้วมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าไม่ถูกต้อง เรื่องแบบนี้ชนวนในสังคมไทยเกิดเหตุมาครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าประมาทครับ"