'ประยุทธ์' ย้ำลงพื้นที่บุรีรัมย์แก้ปัญหาประชาชน

'ประยุทธ์' ย้ำลงพื้นที่บุรีรัมย์แก้ปัญหาประชาชน

"ประยุทธ์" ย้ำลงพื้นที่บุรีรัมย์แก้ปัญหาประชาชน เตรียมระดับกลุ่มจังหวัดเป็นประตูสู่อีสาน-CLMV เชื่อมโยงระเบียงเขตเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า การลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการไปเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจำเป็นต้องจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการวางรากฐานการพัฒนา และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมองถึงผลประโยชน์ของประชาชนในภาพรวมทั้งประเทศ ส่วนในระดับกลุ่มจังหวัดก็จำเป็นต้องมีแผนพัฒนาในลักษณะที่คล้ายๆ กันที่สามารถจะแก้ปัญหาให้กับท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความจำเป็น ความสำคัญ ความเร่งด่วนในภาพรวม เพราะการใช้จ่ายงบประมาณต้องมีวินัยการเงินการคลัง

พร้อมย้ำว่า รัฐบาลเห็นความสำคัญศักยภาพและโอกาสสูงที่จะขับเคลื่อนและยกระดับให้กลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 1 นี้เป็นประตูสู่อีสานและ CLMV เพื่อเชื่อมโยงกับแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ทั้งนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาคุณภาพคน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันเป็นเป้าหมายโดยน้อมนำยุทธศาสตร์ในด้านการพัฒนาก็คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีเรื่องที่น่ายินดี 2 เรื่อง คือ นักกีฬาฟุตบอลคนตาบอด ทีมชาติไทย ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรก เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในรายการฟุตบอลคนตาบอดโลก ที่จะแข่งขันระหว่างวันที่ 5 -18 มิ.ย.นี้ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยเฉพาะรายการนี้ พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า แม้มองไม่เห็น แต่ก็สามารถใช้หูนำทาง ร่วมกับประสาทสัมผัส และทักษะอื่นมาชดเชยได้เพียงแต่ต้องอาศัยการฝึกฝน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ พร้อมขอชื่นชมในความสามารถ ความวิริยะอุตสาหะ โดยจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทย ทั้งประเทศ ในทุกวงการ ไม่ให้ย่อท้อต่ออุปสรรค

ขณะเดียวกัน ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย ติดตามผลงาน ร่วมส่งกำลังใจไปเชียร์ ให้นักกีฬาของเราประสบความสำเร็จสูงสุด นำชื่อเสียง ความภาคภูมิใจ และความสุข มาสู่คนไทย ทั้งชาติ และ เป็นบันไดไปสู่การแข่งขันในรายการพาราลิมปิกส์เกมส์ ปี 2020 ณ ประเทศญี่ปุ่น ต่อไป

ส่วนเรื่องที่สอง คือ ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพและดำรงตำแหน่งประธานเครือข่ายผู้ประกอบกอบการสตรีอาเซียน (AWEN) ต่อจากฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีวาระ 2 ปี คือ ปี 2562 และ 2563 เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสตรีทางเศรษฐกิจในอาเซียน ที่สะท้อนการยกระดับความเสมอภาคระหว่างเพศ และพลังสตรีกับเศรษฐกิจ ของภูมิภาคอาเซียน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังว่า วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม ศกนี้ จะมีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับเมืองไทยที่เป็นชาติเกษตรกรรม ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันอันใกล้ชิด ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทย นอกจากนี้ “วันพืชมงคล” ถือเป็น “วันเกษตรกร” ประจำปีอีกด้วย

ทั้งนี้นับเป็นเรื่องที่ดี ที่ได้ทราบข่าวจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยว่า ครึ่งปีแรก ประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกข้าวได้กว่า 4.99 ล้านตัน และกรมการค้าต่างประเทศรายงานว่า ได้ปรับเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 9.5 ล้านตัน เป็น 10 ล้านตัน เป็นผลให้ราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และข้าวหอมมะลิราคายังคงอยู่ในระดับสูง ที่ผ่านมา ประเทศไทยชนะการประมูลขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐของฟิลิปปินส์ ปริมาณ 120,000 ตัน และยังสามารถชนะการประมูลของอินโดนีเซียได้อีกกว่า 200,000 ตัน รวมทั้ง ยังจะมีการส่งมอบข้าวให้กับจีนแบบรัฐต่อรัฐ งวดที่ 5 อีกกว่า 100,000 ตันซึ่งคาดว่าจะส่งมอบเสร็จภายในเดือนนี้ เชื่อว่าการส่งออกข้าวไทยจะดีขึ้น และราคาจะดีต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า อยากให้เกษตรกรติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการผลิตและการขายอย่างเหมาะสมด้วย ต้องระมัดระวังนะครับ ถ้าปริมาณมากเกินไป ราคาก็ตกลง ถึงจะขายข้าวได้มาก ราคาก็ยังคงได้น้อยอยู่เพราะเราไปแข่งขันใครไม่ได้นะครับ รวมไปถึงในเรื่องของการลด