ย้อนรอย ภาษีหุ้น 'ชินคอร์ป' ใครรับผิดชอบ ?

ย้อนรอย ภาษีหุ้น 'ชินคอร์ป' ใครรับผิดชอบ ?

ย้อนรอย ภาษีหุ้น "ชินคอร์ป" ใครรับผิดชอบ ?

การเก็บภาษีหุ้นจากครอบครัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรณีขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มเทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 ซึ่งจนถึงวันนี้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 10 ปี และมีแนวโน้มว่าไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้

การจัดเก็บภาษีกรณีการขายหุ้นชินฯในครั้งนี้ ต้องแยกเม็ดเงินออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกที่ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท วงเงิน 69,722.88 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ไม่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย แต่ภายหลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งยึดทรัพย์บางส่วนกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหากับกรมสรรพากรในขณะนี้ เกิดจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ นำหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท จากนั้นนำมาขายต่อให้เทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549

ส่วนที่จาก "ราคาซื้อ-ราคาขาย" นี้เอง ที่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นรายได้พึงประเมิน และเป็นการได้มา "นอกตลาดหลักทรัพย์"

กรมสรรพากรในยุคนั้น ประเมินเมื่อกลางปี 2550 ว่า ต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ รวมเป็นเงิน 11,300 ล้านบาท

การต่อสู้คดียืดเยื้อมานานและเกิดประเด็นเป็นระยะตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแต่ละช่วง ในบางช่วงที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นรัฐบาล ประเด็นการเรียกเก็บภาษีก็ดังขึ้น แต่เมื่อกลับมาเป็นรัฐบาล ก็มีแนวโน้มว่าจะหลุดจากคดี

แต่ในช่วงที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งรัฐบาลประหารเมื่อปี 2557

ดังนั้นจะเห็นว่าประเด็นการเรียกเก็บ-ไม่เรียกเก็บเกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงการเมือง อีกทั้งคดีภาษียังเกี่ยวพันคดียึดทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดการตีความว่าภาษีที่เรียกเก็บครั้งนี้จะเรียกเก็บจากนายทักษิณ หรือ บุตร เนื่องจากการตัดสินคดียึดทรัพย์นั้นระบุว่าเจ้าของที่แท้จริงคือนายทักษิณ

ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือแจ้งเตือนกรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯให้เรียบร้อยก่อนคดีจะขาดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.2560

จากหนังสือดังกล่าวนี้เอง ทำให้เกิดประเด็นขึ้นมาว่าในที่สุดแล้ว กรมสรรพากรจะเรียกเก็บได้หรือไม่

เพราะตามกฎหมาย อายุความหมดไปแล้วตั้งแต่เดือนม.ค. 2555 แต่ที่สตง.มองว่าอายุความจะหมดนั้น ต้องเป็นกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ“ขยายเวลาออกหมายเรียก”ให้มาเสียภาษี

แต่ก็เกิดประเด็นกฎหมายขึ้นมาว่าทำได้หรือไม่ เมื่อกรมสรรพากร ระบุว่าไม่มีกฎหมายใดสามารถเรียกเก็บได้อีก เพราะประการแรก คดีหมดอายุความไปแล้ว ประการที่สอง การขยายอายุการประเมินภาษี ตามมาตรา 3 อัฎฐ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่อาจทำได้ เพราะตามกฎหมายทำได้เมื่อเอื้ออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษี “ไม่ใช่เป็นการลงโทษ”

ที่สำคัญ กรมสรรพากรไม่สามารถขยายเวลาออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนเพื่อประเมินภาษีได้ เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ระบุว่า อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจออกจดหมายเรียกผู้เสียภาษีมาไต่สวนได้ภายใน 5 ปี และมีการหารือเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขยายเวลาออกหมายเรียก ตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรค 2

เพราะกรมสรรพากรไม่ได้มีจดหมายเรียกผู้เสียภาษีมาไต่สวน ทำให้การขยายเวลาออกหมายเรียกไม่อาจทำได้

แต่ประเด็นการโต้แย้งทางกฎหมายว่ายังสามารถเรียกเก็บภาษีได้หรือไม่นั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นอย่างไร

ล่าสุด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ป.ป.ท.) พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) หารือเกี่ยวกับการเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป

การหารือครั้งนี้ จะมีการรายงานพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ว่าจะดำเนินการอย่างไร จนมีข่าวลือว่าจะมีการใช้มาตรา 44 หากกรณีขาดอายุความจริง

นายวิษณุ ระบุว่า "มีความคืบหน้าอยู่บ้าง แต่ต้องให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจ โดยจะไม่มีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 เข้ามาดำเนินการ และจะไม่ทำอะไรที่ฝ่าฝืนหลักนิติธรรม"

ขณะพล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ป ขณะนี้ได้ข้อยุติแล้ว ให้รอผู้ใหญ่ในรัฐบาลตัดสินใจ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดูเหมือนจะหงุดหงิดพอสมควร เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดประเด็นว่าอาจไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ ทางกรมสรรพากรยังไม่ได้มีการชี้แจงให้เกิดความกระจ่าง

"เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรต้องไปดำเนินการ ถ้าเก็บได้หรือไม่ได้อย่างไร ต้องมีคำอธิบายออกมา"

ดังนั้น ขณะนี้จึงต้องรอฟังคำชี้แจงจากสรรพากรว่าจะออกมาอย่างไร และที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์จะพิจารณาอย่างไรต่อกรณี แม้ดูตามรูปการณ์แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยุคนี้มากนัก หากตีความว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่ปี 2555

หากผลออกมาว่าไม่อาจเก็บภาษีได้แล้ว ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อจากนี้ไปคือใครจะรับผิดชอบต่อกรณีนี้ รัฐบาลในแต่ละยุคแต่ละสมัยและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง?

หากย้อนกลับไปดูจะเห็นว่าคดีนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายรัฐบาลและรัฐมนตรีหลายคน ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายที่เป็นพรรคเดียวกัน ซึ่งหากสอบหาคนรับผิดชอบก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและเป็นบทเรียนให้กับสังคมไทย

คำถามที่ต้องตอบคือสังคมไทยเกิดกรณีเช่นนี้ได้อย่างไร