ยกฟ้อง 'เริงชัย' พ้นภาระ ใช้เงินคืนธปท. 1.8 แสนล.

ศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง "เริงชัย" อดีตผู้ว่าธปท.ไม่ผิดสั่งสวอป ป้องค่าเงินบาทลอยตัวปี 40 พ้นภาระชดใช้เงินคืน ธปท. 1.8 แสนล้าน
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษกวานนี้ (5 ต.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่า ธปท. เป็นจำเลย เรื่องละเมิด จากกรณีออกคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท (สวอป) เพื่อปกป้องค่าเงินบาท เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว ปี 2540 อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเรียกค่าเสียหาย เป็นเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
โดยวานนี้ นายธนกร แหวกวารี รับมอบฉันทะจากนายเริงชัย มาฟังคำพิพากษา ซึ่งคดีทางแพ่งจำเลยไม่ต้องเดินทางมาศาลเองได้
นายธนกร ผู้รับมอบฉันทะนายเริงชัย เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าการกระทำของนายเริงชัย ไม่ได้เป็นการกระทำละเมิด และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า 1.8 แสนล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าผลคดีเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกา
เริงชัยพ้นมลทินหลังต่อสู้ 15 ปี
ขณะที่นายนพดล หลาวทอง ทนายความของนายเริงชัย กล่าวว่า เมื่อผลคดีเป็นที่ยุติแล้วว่านายเริงชัย ไม่ได้กระทำการให้เสียหายตามฟ้อง ทั้งนี้ยังไม่เคยมีการหารือกับนายเริงชัยว่า จะดำเนินคดีกลับบุคคลหรือหน่วยงานใดที่สอบคดีนี้จนมีการกล่าวหานายเริงชัยหรือไม่ ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นการล้างมลทินแล้วที่ต้องต่อสู้คดีมายาวนานถึง 15 ปี โดยนายเริงชัยไม่เคยถูกกล่าวหาคดีทางอาญาว่าทุจริต เพียงแต่มีการเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่งการสู้คดีได้ยืนยันแล้วว่านายเริงชัย ได้กระทำตามหน้าที่ขณะนั้นอย่างระมัดระวังที่สุดแล้ว
เผยอัยการยื่นฟ้องเริงชัย 1.8 แสนล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2544 ระบุว่า ขณะนายเริงชัยเป็นผู้ว่าการ ธปท. และกรรมการกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในปี 2539-2540 ได้อนุมัติให้นำเงินทุนสำรองทางการ แทรกแซงในตลาดเงินตราเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาททำให้ ธปท.ต้องรับภาระส่งมอบเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการทำธุรกรรมขายดอลลาร์ในตลาดเงินตราคิดเป็นเงินบาทถึง 193,812.59 ล้านบาท แต่เนื่องจากการทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (สวอป) ในช่วงวันที่ 1 พ.ย.39 - 30 มิ.ย.40 มีผลกำไร 7,298.771 ล้านบาท หักออกจากความเสียหายทั้งหมดแล้ว จำเลยต้องรับผิดชดใช้ในส่วนขาดทุน ในการทำธุรกรรมดังกล่าว ให้โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปีของต้นเงิน 185,953,740,000 บาทนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 62,090,720 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นทุนทรัพย์ที่ฟ้องเป็นเงิน 186,015,830,720 บาท ขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษา พร้อมทั้งให้จำเลยชำระเงินจำนวน 186,015,830,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 พ.ค.48 ให้นายเริงชัยจำเลยใช้เงิน 185,953,740,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% นับตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.2541 แก่ ธปท. โจทก์ที่ 1 และยกฟ้องกองทุนฯ โจทก์ที่ 2 เนื่องจากไม่มีหน้าที่ทำธุรกรรมค่าเงินบาท
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเหตุเริงชัยทำโดยไม่ประมาท
นายเริงชัย ได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 2 พ.ย.53 พิพากษากลับให้ยกฟ้องนายเริงชัย เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของนายเริงชัยขณะนั้นไม่ได้เป็นการกระทำโดยประมาท แต่เป็นไปตามวิสัยที่เกิดขึ้นขณะนั้นตามความเหมาะสม และการพิจารณาถึงมาตรการใดๆ ก็ได้หารือในคณะ ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยความประมาทเลินเล่อเพียงลำพัง
ทนงชี้ไม่มีใครอยากให้บ้านเมืองเสียหาย
ด้านนายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าถือเป็นข่าวดีที่ศาลฎีกายกฟ้อง เนื่องจากไม่มีใครอยากทำให้บ้านเมืองเสียหาย และถ้าถือเป็นการกระทำผิดก็ต้องผิดด้วยกันทุกคน เพราะกรณีของนายเริงชัยไม่สามารถกระทำการได้โดยลำพังต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้น
แจงปฏิบัติตามนโยบายการเงิน
“เป็นเรื่องนโยบายการเงิน และเป็นการปฏิบัติตามนโยบายการเงิน ซึ่งการจะเปลี่ยนนโยบายการเงินนั้นต้องมาจากแบงก์ชาติและได้รับความเห็นชอบจากรมว.คลัง แต่เหตุการณ์ตอนนั้น เมื่อก่อนปี 2540 มันชุลมุน ซึ่งนโยบายการเงินยังไม่มีการปรับเปลี่ยน แบงก์ชาติก็ต้องใช้ตะกร้าเงินเพื่อแสดงถึงเสถียรภาพของค่าเงิน เป็นการทำตามนโยบาย จึงเป็นที่มาถูกโจมตีค่าเงิน”นายทนงกล่าว
เขากล่าวว่าช่วงที่เข้าไปรับตำแหน่ง รมว.คลังต่อจากนายอำนวย วีรวรรณ นั้น เป็นช่วงที่เราถูกโจมตีค่าเงินแล้ว และนายเริงชัยได้มาบอกว่า เราไม่มีอะไรเหลือแล้ว จำเป็นต้องลอยตัวค่าเงิน ซึ่งก็ถือเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศว่านโยบายการเงินนั้นเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก การดำเนินตามนโยบายการเงินถูกหรือผิดมันไม่มีทางเลือก เป็นความจำเป็นต้องดำเนินตามหรือปฏิบัติตามนโยบาย
ทั้งนี้นายทนงกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นบทเรียนของประเทศชาติ แต่ถือเป็นบทเรียนที่มีราคาแพงมาก ซึ่งช่วงที่นายเริงชัยไปศาลช่วงแรกๆ ตนเองก็ยังไปเป็นพยานในศาลให้ด้วย







