ศึกชิงตำแหน่ง 'อธิการบดี มช.' วุ่น! จี้ศธ.-คสช.แก้ปัญหาด่วน

ชาวลูกช้างกังวล! ศึกชิงตำแหน่ง "อธิการบดี มช." ยังวุ่น "เสริมเกียรติ" ร้องนายกฯ-รมว.ศธ. แฉคู่แข่งขาดคุณสมบัติ หลังนั่งเก้าอี้ สนช.
รายงานข่าวแจ้งว่า รศ.ดร.เสริมเกียรติ จอมจันทร์ยอง อดีตรองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการและอดีตคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้ทำหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2559 ร้องขอให้พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ให้พิจารณาการลงมติคัดสรรตำแหน่งอธิการบดี มช.ที่จะครบวาระในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ที่จะถึงนี้
เนื้อหาในหนังสือระบุว่า ร้องขอให้รมว.ศึกษาธิการปฎิบัติการให้เป็นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 39/2559 ตามข้อ4 (2) และข้อ 12 วรรคสอง ในปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผลการลงมติในการพิจารณาเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี มช. เมื่อคราวการประชุมครั้งที่ 7/2559 วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 42 วรรคสองของพ.รบ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกอบด้วยข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี พ.ศ2554 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 และชอบด้วยประกาศข้อ2.4 ของคณะกรรมการสรรหาอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือใหม่ หากมีกรณีไม่ชอบสมควรที่จะดำเนินการต่อตามข้อ 13 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 39/2559 ประการใดหรือไม่
แหล่งข่าว อธิบายว่า ในการลงมติวันที่ 23 กรกฎาคม 2559 ซึ่งมีผู้เสนอชื่อ 2 รายคือศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต และรศ.ดร.เสริมเกียรติ จอมจันทร์ยอง ปรากฎว่าศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ ได้รับการเสนอชื่อเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีสืบต่อไปอีกวาระ ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 14 ต่อ 11 เสียง แต่ปัญหาในเรื่องข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัย คือศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ ผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามประกาศของคณะกรรมการสรรหาอธิการบดี มช.หรือไม่
เนื่องจากตามประกาศของคณะกรรมการสรรหา ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครในข้อ 2.4 (2)ว่า ต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในทุกตำแหน่ง แม้ว่าจะมีการยกเว้นข้ออ้างตามบทบัญญัติในมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ว่า ได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติมาตรานี้ ซึ่งศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ ไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างสำหรับกรณีนี้ได้
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า กรณีของนายสมศักดิ์ เชาววิศิษฐ์เสวี เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยตำแหน่งนายกสภาสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้หมดวาระลงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่านายสมศักดิ์ ได้เข้าร่วมประชุมสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 กรฎาคม 2559 และได้ร่วมลงมติลับในวาระให้ความเห็นชอบ เสนอแต่งตั้งอธิการบดี จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่านายสมศักดิ์ ยังมีสิทธิที่จะเข้าร่วมประชุมสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือไม่
นอกจากนี้ กระบวนการลงมติในการพิจารณาเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่ง อธิการบดี มช. ชอบด้วยหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ เนื่องจากทางสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มิได้มีการดำเนินกระบวนการลงมติอย่างโปร่งใส เพราะไม่มีกล่องหย่อนบัตรลงคะแนนลับ แต่กลับใช้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กระจายกันรับบัตรลงคะแนนจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่มิได้มีการปิดผนึกเหมือนเช่นการลงคะแนนลับโดยทั่วไป
“จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่าหากมีเจ้าหน้าที่บางคนเปลี่ยนบัตรลงคะแนน หรือมีการเปิดดูบัตรลงคะแนนของกรรมการสภามหาวิทยาลัยบางท่านโดยพลการซึ่งจะเป็นผลทำให้การลงมติในการพิจารณาคราวนี้เป็นไปโดยไม่สุจริต”แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ดี รศ.ดร.เสริมเกียรติ ได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ ในวันที่ 18 ส.ค.2559 ว่าด้วยการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา โดยทางนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ซึ่งถือเป็นหน่วยงานกลางสำหรับการตรวจสอบและดำเนินการวินิจฉัยทุกกระบวนขั้นตอนการร้องขอของ รศ.ดร.เสริมเกียรติ
กระทั่งต่อมาในวันที่ 25 ส.ค.ทางรศ.ดร.เสริมเกียรติ จึงได้ทวงถามไป สกอ. เรื่องความคืบหน้าเรื่องการร้องเรียน โดยส่งหนังสือถึงรศ.ดร.นายแพทย์กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้ดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาผล เนื่องจากหากการวินิจฉัยไม่ขยับ โดยในวันที่ 27 ส.ค.2559 กระบวนการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอธิการบดี มช. อาจต้องถูกชะลอเอาไว้ก่อน
ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา ด้านของรศ.ดร.นายแพทย์กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการกำกับอุดมศึกษา (กกอ.) ให้เข้าตรวจสอบข้อร้องเรียนดังกล่าว ทำให้กระบวนการแต่งตั้งอธิการบดีจึงต้องระงับไว้ก่อน พร้อมทั้งเรียกให้ทางสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำเรื่องชี้แจงถึงรายละเอียดต่างๆ เข้าไปให้ทาง กกอ.ได้รับทราบ ส่วนเวลาการพิจารณาของทาง กกอ.นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ และหากตำแหน่งอธิบการบดีอยู่ในภาวะสุญญากาศ ทางสภามหาวิทยาลัยจำเป็นต้องใช้อำนาจเพื่อแต่งตั้งอธิการบดีขึ้นมาเพื่อรักษาการไว้ก่อน โดยสามารถเป็นได้ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากสภามหาวิทยาลัย หรือรองอธิการบดีฝ่ายบริหารก็ได้ โดยทางด้านของศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนปัจจุบัน จะหมดวาระในวันที่ 9 พ.ย.นี้
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้มีการส่งเรื่องร้องเรียนความไม่เป็นธรรมกรณีคัดสรรผู้มาดำรงตำแหน่งอธิการบดี โดยได้มีการเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี ,รมว.ศึกษาธิการและปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีการตรวจสอบความชอบธรรมเรื่องการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา เพราะที่ผ่านมามีคนเสนอชื่อรศ.ดร.เสริมเกียรติ ให้เป็นอธิการบดีมากถึง 23 หน่วยงาน จากหน่วยงานทั้ง 30 หน่วยในมช. และเสียงสนับสนุนในสภาก็ใกล้เคียงกัน
“เสียงส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ เพราะมีประเด็นทางกฏหมาย 4 ข้อที่ไม่มีความโปร่งใส คือ 1.เรื่องคุณสมบัติของศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์นิเวศน์ ซึ่งผิดระเบียบการสรรหา อธิการบดี มช.2558 2.เรื่องนายกสมาคมนักศึกษาเก่า มช.ที่ี่หมดสถานภาพแต่กลับเข้าประชุมและใช้สิทธิโหวต 3.เรื่องการเพิ่มเติมหน่วยงานให้มีสิทธิเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธก.ซึ่งอาจเป็การเอื้อประโยชน์ และ 4.เรื่องขั้นตอนและวิธีการลงคะแนนลับที่อาจไม่โปร่งใส ”แหล่งข่าวกล่าว
กระนั้น หากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นและทาง สกอ. ประกาศให้มีการสรรหาอธิการบดีใหม่ รศ.ดร.เสริมเกียรติ ประกาศจะไม่ขอลงสมัครอธิการบดีอีก เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในมหาวิทยาลัยเพียงเท่านั้น
อีกทั้งไม่ได้ทำงานเพื่อคนบางกลุ่ม แต่ทำงานเพื่อส่วนรวมซึ่งเป็นบุคลากรในมหาวิทยาลัยกว่า 10,000 ชีวิต และในวันเสาร์ที่ 24 ก.ย.นี้ทางสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะมีการประชุมเพื่อหาข้อยุติ รวมถึงทำเรื่องเพื่อส่งเข้าไปยัง กกอ.ได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อไป







