กทม.บุกท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจรถดับเพลิง139คัน

กทม. บุกท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจรถดับเพลิง 139 คัน เร่งตั้งโต๊ะเจรจา "นามยงค์" สางปมค่าที่จอด 26 ก.ย.นี้
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงการเจรจากับส่วนกรณีบริษัทนามยงค์ เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) กรณีค่าเช่าที่จอดรถดับเพลิงและอุปกรณ์ซึ่งจอดอยู่ท่าเรือแหลมฉบัง แยกเป็นรถดับเพลิง 67 คัน รถดับเพลิงบรรทุกน้ำขนาด 1 หมื่นลิตร 72 คัน ว่า สำหรับการเจรจากับบริษัทนามยงค์ฯ เนื่องจากบริษัทนามยงค์ฯ ได้ไปฟ้องร้องต่อศาลกรณีค่าเช่าที่จอดรถดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 26 ก.ย.นี้กทม.จะเข้าไปเจรจากับบริษัทนามยงค์ฯอีกครั้ง โดยในรายละเอียดเป็นการเจรจาค่าที่จอดรถ ซึ่งบริษัทนามยงค์ฯได้เสนอตัวเลขมา แต่กทม.ก็ได้หาตัวเลขค่าเช่าที่เป็นไปได้ เพราะตั้งแต่นำรถเข้ามาก็มีการย้ายที่จอดรถหลายครั้ง การย้ายแต่ละครั้งก็จะต้องทราบข้อมูลว่า แบ่งเป็นค่าที่จอดค่าและดูแลเท่าไร ทำให้กทม.จะดูตัวเลขที่เหมาะสม แต่ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ แต่กทม.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 คณะ คือ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการไกล่เกลี่ย โดยมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. เป็นประธาน 2.คณะทำงานเพื่อพิจารณาวงเงินที่เหมาะสม โดยมีผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย กทม. เป็นประธาน
นายจักกพันธุ์ กล่าวอีกว่า จะเดินทางไปดูพื้นที่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อตรวจสอบสถานที่ และนำมาประเมิณราคาที่จอดรถอีกครั้ง โดยจะให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และข้อกำหนดของ กทม. ซึ่งรถทั้ง 139 คันที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้น จะนำออกมาเมื่อใดก็อยู่ในขั้นตอนการเจรจาของ กทม.เช่นกัน ซึ่งการเจรจาจะให้เป็นไปตามลักษณะเดียวกับบริษัทเทพยนต์ แอโรโมทีฟอินดัสตรีส์ โดยจะขอนำรถออกมาดำเนินการก่อน ส่วนอุปกรณ์อะไหล่ 2 ตู้คอนเทรนเนอร์ ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ 350 ชุด เครื่องอัดอากาศจำนวน 5 ชุด ชุดดับเพลิง 2,384 ชุด อยู่ที่ท่าเรือคลองเตย และอุปกรณ์บรรเทาสาธาระภัยจำนวน 3 หีบห่อ อยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งกทม.ก็จะเข้าไปประสานงานกับกรมศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินขั้นตอนและนำออกมาใช้งานต่อไปและได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยคาดว่าภายในปีนี้จะนำออกมาใช้งานได้ในทุกส่วน
จากนั้นในช่วงบ่ายนายจักกพันธุ์ กล่าวภายหลังการตรวจสอบว่า รถทุกคันสามารถสตาร์ทได้ และจากการตรวจสอบ บริษัทที่ดูแลรถได้นำรถทุกคันขับเคลื่อนย้ายทุกๆ 2-3เดือน และได้ทดสอบการฉีดน้ำ ระบบฉีดน้ำยังสามารถทำงานได้ ซึ่งทั้ง 139 คันมีปัญหาแค่ระบบแบตเตอรี่ ยางรถยนต์ ที่จะต้องเปลี่ยน และตรวจสอบระบบเครื่องยนต์และระบบดับเพลิงในปลีกย่อย โดยละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้จัดสรรงบประมาณส่วนนี้ไว้ที่ 178 ล้านบาท และจากการตรวจสภาพ ของ รถดับเพลิง 139 คัน ที่ท่าเรือแหลมฉบัง มีความแตกต่างกับ รถดับเพลิง 176 คันที่เก็บไว้ ต.ไทรน้อย เพราะไม่ได้มีสภาพที่จมน้ำ จึงมีสภาพที่ดีกว่า และค่าซ่อมราคาจึงต่ำกว่า
“ส่วนจะสามารถนำรถดับเพลิง 139 คัน ออกมาเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้เมื่อไรนั้น ต้องอยู่ที่การเจรจากับบริษัทนามยงค์ ในวันที่ 26 ก.ย.นี้ คาดว่าจะได้ข้อยุติในวันดังกล่าว แต่ก็ต้องทำหนังสือถึงกรมศุลกากรมเพื่อนำรถออกตามคำสั่ง คสช.ที่ 51/2559 และเนื่องจากรถทั้ง 139 คัน อยู่มานานกว่า 10 ปีแล้ว ตามกฎหมายจึงถือว่าตกเป็นสินค้าคงค้างอยู่ที่กรมศุลกากร กทม.จึงต้องเรื่องขอยกเว้นเพื่อจะนำรถออกมาด้วย เพราะว่ารถทั้งหมด กทม.ยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการขอรับรถตั้งแต่นำเข้ามา โดยคาดว่าขั้นตอนของกรมศุลกากรจะแล้วเสร็จภายใน 15 วันนี้ ก่อนที่จะถึงวันเจรจากับบริษัทนามยงค์”นายจักกพันธุ์ กล่าว







