คุก1ปี 'สุรพงษ์' เอื้อชินคอร์ป

ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก “นพ.สุรพงษ์” 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่อนุมัติแก้ไขสัมปทานดาวเทียม เอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ป
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ หมอเลี้ยบ อายุ 59 ปี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร, นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ และอดีตปลัดกระทรวงไอซีที ยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นจำเลยที่ 1-3 ในฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2858 ระบุว่า ช่วงระหว่างเกิดเหตุนพ.สุรพงษ์ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรมว.ไอซีที นายไกรสร จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงไอซีที ส่วนนายไชยยันต์ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผอ.สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2547
จำเลยได้ร่วมกันอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยไม่เสนอให้ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป และบริษัทชิน แซทฯ ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ และทางราชการ โดยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลได้เริ่มไต่สวน เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2559 พยานโจทก์และจำเลยฝ่ายละ 9 ปาก และเสร็จสิ้นการไต่สวนเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2559
“สุรพงษ์”แก้สัมปทาน-ไม่ชงครม.
ศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษา โดยพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว ได้ความจากการไต่สวนพยานทั้งสองฝ่ายว่า ครม.มีมติอนุมัติให้บริษัทชินคอร์ป เป็นผู้รับสัมปทานดาวเทียม ต่อมาวันที่ 11 ก.ย.2534 มีการทำสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมระหว่างกระทรวงคมนาคมกับบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิว นิเคชั่นส์ จำกัด โดยนายทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้นเป็นประธานกรรมการบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชินคอร์ป หรือบริษัทอินทัช
ตามสัญญาข้อ 4 กำหนดให้บริษัทชินคอร์ป จะต้องจัดบริษัทขึ้นใหม่มาดำเนินการตามสัญญาภายใน 12 เดือน และจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ไม่น้อยกว่า 51% นอกจากนี้บริษัทชินคอร์ป และบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าวต้องรับผิดชอบตามสัญญาต่อกระทรวงในลักษณะร่วมกันและแทนกัน
ภายหลังมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่คือบริษัท ชิน แซทฯ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไทยคม แล้วมีการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 1 เพื่อให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เข้ามาร่วมรับผิดตามสัญญา โดยมีนายทักษิณ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัทเป็นผู้ลงนามในสัญญา ต่อมาวันที่ 24 ธ.ค.2546 บริษัทชิน แซทฯ มีหนังสือถึงกระทรวงไอซีที ขออนุมัติให้บริษัทชินคอร์ป ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทชิน แซทฯ ให้เหลือไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยอ้างว่าธุรกิจให้บริการช่องดาวเทียมไอพีสตาร์ต้องใช้เงินทุนสูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาท บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องให้พันธมิตรหรือเจ้าของแหล่งทุนเข้ามามีส่วนในการถือหุ้น โดยนายไชยยันต์ ได้รับมอบหมายให้ศึกษาวิเคราะห์การขอแก้ไขสัญญาสัมปทานในครั้งนี้ และนายไกรสร ในฐานะปลัดกระทรวง ได้เสนอความเห็นว่าการลดสัดส่วนถือหุ้นดังกล่าวบริษัทชินคอร์ป ยังคงรับผิดชอบการทำตามสัญญาได้ต่อไป และไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งนพ.สุรพงษ์ ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานนั้น โดยไม่ได้เสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ
ศาลชี้“ทักษิณ”ประโยชน์ทับซ้อน
โดยศาลฎีกาฯ วินิจฉัยแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น เป็นข้อเสนอเพิ่มเติมของบริษัทชินคอร์ป ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเจรจาระหว่างบริษัทกับคณะกรรมการพิจารณาสัมปทาน จึงเป็นเรื่องของคุณสมบัติและความสามารถของผู้รับสัมปทานที่เป็นสาระสำคัญของสัญญา และเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่ ครม.ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบบริษัทชินคอร์ป เป็นผู้รับสัมปทาน การแก้ไขสัญญาในเรื่องนี้จึงต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม.
การที่ นพ.สุรพงษ์ อนุมัติให้แก้ไขสัญญาโดยให้บริษัทชิน แซทฯ ลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นบุคคลสัญชาติไทยจาก 51% ให้เหลือ 40 % ทำให้เกิดความเสี่ยงในการครอบงำกิจการของชาวต่างชาติ ที่จะมีผลต่อกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ขัดต่อเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายกิจการโทรคมนาคม
การกระทำดังกล่าวไม่ได้นำเสนอต่อ ครม.ตามขั้นตอน แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ส่งหนังสือหารือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด โดยนายชัยเกษม นิติศิริ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่แทนอัยการสูงสุด ตอบกลับในครั้งแรกว่าโดยตั้งข้อสังเกตให้นำเรื่องการแก้ไขสัญญาเข้าสู่การพิจารณาของครม. เมื่อเลขาธิการ ครม.ปฏิเสธไม่รับเรื่อง โดยเสนอให้จำเลยที่ 1 ถอนเรื่อง แล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือหารือมาทางสำนักงานการอัยการสูงสุดอีกครั้งว่าในฐานะหัวหน้าหน่วยราชการมีอำนาจอนุมัติแก้ไขสัญญาได้หรือไม่
โดยสำนักงานอัยการสูงสุดตอบกลับว่ามีอำนาจ แต่เป็นการตอบกลับโดยไม่ทราบเบื้องหลังว่าจำเลยที่ 1 ปกปิดความจริงที่เลขาธิการ ครม.แจ้งทางโทรศัพท์ปฏิเสธการรับเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นคู่สัญญากับบริษัทเอกชน ทำให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน
อีกทั้งการอนุมัติแก้ไขสัญญาไม่ได้ทำให้ราชการได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่กลับได้รับความเสี่ยง ซึ่งการแก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นทำให้บริษัทเอกชนได้รับประโยชน์เพียงฝากเดียว เพราะกรณีดังกล่าวก็สืบเนื่องจากข้อเสนอเพิ่มเติมจากบริษัทเอกชน การกระทำนั้นยังเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัทชินคอร์ป ในฐานะผู้รับสัมปทานโดยตรง ที่จะต้องมีอำนาจการควบคุมบริหารจัดการอย่างเด็ดขาด ซึ่งการลดสัดส่วนอาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีอยู่ 60 % รวมตัวกันคัดค้านการดำเนินการใดๆ ของบริษัทได้ แม้จะมีโอกาสน้อยแต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นเลย
ศาลเอกฉันท์สั่งจำคุก“สุรพงษ์”1ปี
ส่วนนายไชยยันต์ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบาย ของสำนักอวกาศแห่งชาติ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงไอซีที ให้ศึกษาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อน โดยการศึกษาของจำเลยที่ 3 เป็นการวิเคราะห์ข้อกฎหมาย ไม่ได้วิเคราะห์ตรวจสอบข้อพิรุธ และความจำเป็นที่บริษัทชินคอร์ป ต้องลดสัดส่วนผู้ถือหุ้น
รวมทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทพันธมิตรที่บริษัทชินคอร์ป เคยอ้างเรื่องการลงทุน และไม่วิเคราะห์ว่ากระทรวงไอซีทีจะได้รับผลกระทบจากการแก้ไขสัญญาอย่างไร เชื่อว่ามีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่พันธมิตรหรือผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อมีการเสนอเรื่องไปยังนายไกรสร ก็เพียงแต่ลงนามรับทราบ โดยไม่สั่งให้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลให้ครบถ้วนตามที่ปลัดกระทรวงได้มีคำสั่งไว้ ทั้งที่จำเลยทั้งสองเคยปฏิบัติหน้าที่ด้านการสื่อสาร กระทรวงคมนาคม และกรมไปรษณีย์โทรเลข ย่อมทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสามไม่มีประเด็นใดฟังขึ้น
ดังนั้น จำเลยที่ 1-3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยองค์คณะทั้ง 9 คน มีมติเอกฉันท์พิพากษาให้จำคุก นพ.สุรพงษ์ จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี
ส่ง“สุรพงษ์”นอนเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ส่วนนายไกรสร และนายไชยยันต์ องค์คณะมีมติเสียงข้างมากให้จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 2 หมื่นบาท โดยพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และไม่มีอำนาจในการอนุมัติแก้ไขสัญญาดังกล่าว โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนดคนละ 5 ปี
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น.เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัว นพ.สุรพงษ์ ขึ้นรถตู้เพื่อไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ รับโทษตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว







