บช.ปส.รวบแก๊งค้ายาบ้า-ยาไอซ์ รายใหญ่

บช.ปส.รวบแก๊งค้ายาบ้า-ยาไอซ์ รายใหญ่

บช.ปส.รวบแก๊งค้ายาบ้า-ยาไอซ์ รายใหญ่ย่านนนทบุรี พบทหารนอกราชการร่วมขบวนการ

พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ผบช.ปส พร้อมด้วย พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ ทั่งทอง ผบก.ปส.1 พ.ต.อ.วรวิทย์ ไวถนอมสัตว์ รอง ผบก.ปส.1 พ.ต.ท.อานันท์จักร์ กนกนพวัชร์ รอง ผกก.ปส.1 ร่วมกันแถลงผลจับกุมแก๊งค้ายาเสพติดยาบ้า ยาไอซ์และใบกระท่อม ได้ผู้ต้องหารวม 9 คนคือ นายเสฐวุฒิ สารีวงษ์ อายุ 40 ปีนายสมพร เอี่ยมสำอางค์ อายุ 50 ปีนายนพพร เอี่ยมสำอางค์ อายุ 21 ปีทั้ง 2 คนเป็นพ่อลูกกัน นายอรรณพ บุญใส อายุ 52 ปี (อ้างตัวเป็นทหาร ยศ จ.ส.อ.) นายปริญญา เสือน้อย อายุ 48 ปีนายอนุศร ชุ่มเย็น อายุ 37 ปี พ.ต.ปรีชา ภาแก้ว อายุ 63 ปีนายทหารนอกราชการ แต่งกายชุดทหารยศ พ.อ. สังกัดกองทัพบก และเยาวชนอีก 2 คน

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า ชุดปฏิบัติการ กก.1 บช.ปส. เข้าตรวจค้นร้านขายสินค้าโอเพชร ในพื้นที่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งเปิดกิจการขายของในราคาทุกอย่าง 20 บาท ภายหลังสืบทราบว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงนำหมายค้นศาลจังหวัดนนทบุรีเข้าตรวจสอบอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้นโดยระหว่างตรวจค้นพบนายเสฐวุฒิ แสดงตัวเป็นเจ้าของและมีเยาวชน 2 คนรวมอยู่ด้วย จากการตรวจค้นพบยาบ้า 200 เม็ด ยาไอซ์น้ำหนัก 2.23 กรัมและพบอุปกรณ์การเสพไอซ์ใบกระท่อมซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางบนชั้น 2 ของอาคารดังกล่าว

พล.ต.ต.เรวัติ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนนายเสฐวุฒิ ยอมรับว่า นำยาเสพติดมาจากนายหมอ(ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง)มาขายต่อนานกว่า 3 เดือนแล้ว โดยนายหมอ จะส่งยามาส่งให้สัปดาห์ละครั้ง จากนั้นนำไปขายให้เด็กในย่านใกล้เคียง ขณะที่ชุดจับกุมได้ตรวจค้นอยู่นั้นมีรถยนต์ฮอนด้า สีน้ำเงิน ทะเบียน ภก.9294 กทม.และรถยนต์มาสด้า สีเทา ทะเบียน 4กถ2935 กทม. ขับเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านและมีชายฉกรรจ์ 5 คนลงจากรถและใช้ไม้เขี่ยกล้องวงจรปิดให้หันไปทางอื่น จากนั้นทั้งหมดได้เดินเข้ามาด้านใน โดย 1 ใน 5 คนนั้นมีคนสวมเครื่องแบบทหารครึ่งท่อน ระบุเป็นนายทหาร สังกัด กอ.รมน. และตำรวจกองปราบปรามพยายามข่มขู่กรรโชกทรัพย์นายเสฐวุฒิและเยาวชนอีก 2 คน

เมื่อทั้งหมดทราบว่า มีตำรวจกำลังตรวจค้นในบ้านอยู่จึงทำทีขอเจรจากับชุดจับกุมเพื่อขอร่วมจับด้วย แต่ทางชุดจับกุม บช.ปส.เอะใจ จึงขอตรวจค้นพบบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจระบุ ชื่อ ด.ต.อภินันท์ ทรงบัณฑิต ผบ.หมู่ กก.1 บก.ป. ซึ่งต่อมาภายหลังพบว่า เป็นบัตรปลอม นอกจากนี้ยังได้ตรวจค้นนายอรรณพที่อ้างว่า มียศ จ.ส.อ.นั้น พบยาไอซ์จำนวนหนึ่ง จึงจับกุมตัวชายทั้ง 5 คนและตรวจค้นรถยนต์ พบ พ.อ.ปรีชา นั่งรออยู่ในรถมาสด้าจึงควบคุมตัวไว้ เมื่อตรวจค้นรถทั้ง 2 คัน พบเครื่องแบบทหารยศ ร.ต. ทะเบียนรถปลอม หมวกทหาร อาวุธปืน และยาไอซ์อีกจำนวนหนึ่ง จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนที่ บช.ปส.

จากการสอบสวนนายอรรณพซึ่งอ้างตัวเป็นทหาร ยศ จ.ส.อ. ให้การว่า เป็นทหารจริง แต่ลาออกจากราชการแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เพราะตรวจสอบประวัติไม่ปรากฏชื่อนายอรรณพ ในสารระบบของข้าราชการทหาร นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีหมายจับติดตัวในฐานความผิดร่วมบุกรุกเคหะสถาน และกรรโชกทรัพย์ ในพื้นที่ สน.สายไหม เมื่อปี 2558 ขณะที่ พ.อ.ปรีชา ให้การวกวนไปมาและปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกรรโชกทรัพย์ของกลุ่มผู้ต้องหา โดยก่อนเกิดเหตุจะเดินทางไปทำบุญที่วัดลาดปลาดุก จึงขออาศัยติดรถของกลุ่มผู้ต้องหามาด้วยและไม่ทราบว่าจะมาที่นี่

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้แยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหากับนายเสฐวุฒิและเยาวชนอีก 2 คน ข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ส่วนที่ 2 เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา กลุ่มชายฉกรรจน์ทั้ง 5 คน ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และแต่งกายเลียนแบบทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับ พ.อ.ปรีชา นั้นจากการตรวจสอบพบว่าเป็นนายทหาร สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ยศ พันเอกพิเศษ ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยหลังจากนี้จะทำการสอบสวนเพื่อขยายผลว่า พ.อ.ปรีชามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการคุมตัวกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย และ พ.อ.ปรีชา ไปทำการสอบปากคำเพิ่มเติม โดยทำการแยกสอบปากคำเพื่อหาความเชื่อมโยง หลังนายอรรณพ ได้ทำชักทอดว่า รู้จักกับ พ.อ.ปรีชา สอดรับกับแนวทางการสืบสวนและพยานแวดล้อมที่ระบุว่า กลุ่มของนายอรรณพ มักจะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และกองปราบปราม โดยจะทำทีขอตรวจค้นและอ้างว่าพบยาเสพติด จากนั้นก็จะยื่นข้อเสนอเป็นเงินเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี ซึ่งหากเหยื่อไม่ยอมก็จะให้คุยกับนายทหารยศ พ.อ. นายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นหัวหน้าชุดจับกุม โดยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ในส่วนกรณีของพ.อ.ปรีชา หากพบว่า มีส่วนรู้เห็นกับกรณีกรรโชกทรัพย์ก็จะดำเนินคดีเช่นกัน

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งมอบเรื่องของ พ.อ.ปรีชา ให้นายทหารพระธรรมนูญวินิจฉัย กรณีระหว่างจับกุม พบ พ.อ.ปรีชา แต่งกายในเครื่องแบบทหารในส่วนของการแต่งเครื่องแบบ ซึ่งหาก พ.อ.ปรีชา แต่งกายได้ต้องเป็นภารกิจจำเป็นหรืองานพิธีเท่านั้น และมีการใส่เครื่องหมายไม่ถูกต้องโดยเฉพาะ กนกคอ ต้องเป็นเครื่องหมาย น.ก. คือ นอกราชการ รวมทั้งเข็มเสนาธิการ และเข็มทหารเสือพระราชินี ซึ่ง พ.อ.ปรีชาไม่สามารถติดเครื่องหมายดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่ได้ผ่านการอบรมหรือผ่านหลักสูตรดังกล่าว หากมีความผิดก็จะดำเนินคดีตาม พรบ.เครื่องแบบทหาร ต่อไป