'คณะโฆษกศาลปกครอง' แจงยิบขั้นตอนคดีพิพาทคลองด่าน

"คณะโฆษกศาลปกครอง" แจงยิบขั้นตอนคดีพิพาทคลองด่าน ชี้บังคับคดีภาครัฐจ่ายเอกชน ทำได้ภายใน 10 ปี หากรัฐจะยื่นชะลอทำได้พร้อมยกเหตุให้ศาลวินิจฉัย
ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ เวลา 14.00 น. นายสมชาย งามวงศ์ชน ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด โฆษกศาลปกครอง พร้อมด้วยนายประวิตร บุญเทียม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด รองโฆษกศาลปกครอง และน.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด รองโฆษกศาลปกครอง ได้กล่าวชี้แจง การยื่นขอพิจารณาคดีคลองด่านใหม่ ระหว่างการแนะตัวสื่อมวลชนภายหลังได้รับแต่งตั้งปฏิบัติหน้าที่คณะโฆษกศาลปกครอง
โดยนายสมชาย งามวงศ์ชนโฆษกศาลปกครอง กล่าวถึงกรณีที่มีการเปรียบเทียบ การวินิจฉัยคำชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการ คดีค่าโง่ทางด่วนบางนา กับคดีคลองด่าน ว่า ที่มองกันว่าทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับคดีโครงการก่อสร้าง และมีการทุจริต โดยมีการฟ้องคดีสู่ศาลทั้งสองคดี แต่ทำไมคดีคลองด่านศาลปกครองจึงตัดสินให้รัฐเสียเปรียบชำระเงินตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ แต่คดีก่อสร้างทางด่วนนั้นในอดีตศาลฎีกาตัดสินว่าไม่ต้องจ่าย ถ้าไม่ได้ดูรายละเอียดในสำนวนก็อาจเข้าใจกันแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วคดีทั้งสองแม้จะปะเภทเดียวกัน แต่คดีทางด่วนที่ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้นมีการฟ้องว่า คำวินิจฉัยของอนุญาโตฯไม่ชอบ สัญญาเป็นโมฆะ ซึ่งมีการตั้งเรื่องว่าที่เป็นโมฆะเพราะ 2 ประเด็น คือผู้ว่าการทางฯ ทุจริต กับอนุญาโตฯ ที่วินิจฉัยนั้นมีส่วนได้เสียมีผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อข้อเท็จจริงชัดทั้ง 2 ประเด็นดังนั้นจึงฟังได้ว่า คำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยตามหลักกฎหมาย แต่คดีคลองด่านที่ฟ้องกันในศาลปกครอง ตั้งประเด็นฟ้องว่า สัญญาเป็นโมฆะ จาก 2 ประเด็นเพราะสำคัญผิดในตัวบุคคลคู่กรณี โดยอ้างว่า ก่อนทำสัญญา บริษัทที่ร่วมทุนในสัญญาก่อสร้าง คือ บ.นอร์ธ เวสต์ วอเตอร์ ฯ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดการ จะร่วมทุนด้วย แต่เมื่อจะเซ็นสัญญา บริษัทแม่ของนอร์ธ เวสต์ ฯ กลับได้ถอนใบมอบอำนาจไม่เข้าร่วมด้วย ซึ่งกรมควบคุมมลพิษไม่ทราบมาก่อนจึงเป็นการทำสัญญาจากการเข้าใจผิดข้อเท็จจริงนี้ และ 2. สำคัญผิดทรัพย์สินคือที่ดินที่นำมาก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่ภายหลังมีการฟ้องร้องกันว่าเอาที่ดินซึ่งออกโฉนดไม่ได้มาขายให้
ดังนั้นหลักในการตั้งประเด็นทั้ง 2 คดีจึงแตกต่างกัน ขณะที่ชั้นอนุญาตโตฯ วินิจฉัยคดีคลองด่านว่า ไม่ได้สำคัญผิดในตัวบริษัทที่มาร่วมทุน เพราะหลังจากทำสัญญาได้แจ้งกรมควบคุมมลพิษว่าขอเปลี่ยนตัวผู้ร่วมทุน เป็นบริษัทในไทยแทน แล้วกรมควบคุมมลพิษโดยอธิบดีขณะนั้นยินยอม ดังนั้นจึงไม่สำคัญผิด หรือหากสำคัญผิดจะเป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อที่จะนำมาอ้างไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ดินนั้นที่เรื่องนายวัฒนา อัศวเหม กว้านซื้อมาแล้วนำมาขายให้บริษัทเสนอกรมควบคุมมลพิษใช้ก่อสร้างโครงการ ขณะที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดว่าบริษัทนั้นจะรู้หรือไม่ว่าที่ดินได้มาโดยมิชอบ โดยกรมควบคุมมลพิษก็ได้ไปตรวจดูที่ดินก่อนและเห็นว่าเหมาะสมจะทำโครงการ จึงไม่อาจฟังได้ว่าสำคัญผิด ซึ่งอนุญาโตฯ เห็นว่า เมื่อเอกชนดำเนินถูกต้องแล้วจึงให้รัฐต้องชดใช้จ่ายตามสัญญา จึงเห็นได้ว่าที่มาของเหตุอ้าง 2 เรื่องคนละอย่างกัน ดังนั้นคำวินิจฉัยจึงแตกต่างกัน
ส่วนกรณีที่นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอดีตข้ราชการ กรมควบคุมมลพิษ รวม 7 ราย ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ข้อพิพาทโครงการก่อสร้างคลองด่าน ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 โดยอ้างมีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏในคดีอาญาที่ศาลตัดสินจำคุก 20 ปี อดีตอธิบดี – อดีตรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และ ผอ.กองจัดการคุณภาพน้ำ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเอื้อประโยชน์เอกชนนั้น
นายประวิตร บุญเทียม รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวว่า กลุ่มนายประพัฒน์ ที่ได้ใช้สิทธิ์ยื่นตาม มาตรา 75 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลฯ อ้างว่ามีส่วนได้เสียจากการที่ต้องถูกสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับกรมควบคุมมลพิษนั้น ซึ่งศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไปแล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่รับคำร้อง แม้ศาลจะไม่รับคำร้องขอพิจารณาใหม่ในส่วนของนายประพัฒน์ แต่ก็ไม่ต้องห้ามที่บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือคู่กรณีเดิมในคดีจะมายื่นคำร้องพิจารณาคดีใหม่ได้อีก ขณะที่กฎหมายกำหนดเกณฑ์เรื่องการวินิจฉัยคำขอพิจารณาคดีใหม่ว่า 1.มีพยานหลักฐานใหม่ 2.คู่กรณีที่แท้จริงไม่ได้เข้ามาในคดี 3.มีข้อบกพร่องสำคัญ 4.มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้ศาลจะใช้พิจารณาว่า คำร้องนั้นเข้าองค์ประกอบอย่างหนึ่ง อย่างใดหรือไม่ ตามมาตรา 75 ถ้าเข้าองค์ประกอบศาลจะมีคำสั่งรับไว้ ซึ่งหากรับไว้แล้วก็จะเป็นดุลยพินิจของศาลว่าจะรับฟังพยานหลักฐานที่เข้ามาใหม่อย่างไร โดยอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับคำวินิจฉัยเดิมก็ได้
นายประวิตร กล่าวต่อว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ ที่ภาครัฐต้องชดใช้จ่ายเอกชนตามสัญญาแล้ว ตามขั้นตอนหากว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว ฝ่ายเอกชน ชนะคดี ต้องยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยในการบังคับคดี โดยฝ่ายที่แพ้คดีคือ กรมควบคุมมลพิษ หากไม่ชำระค่างวดที่ 2-3แล้วจะอ้างเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดว่ายังไม่ต้องจ่าย เช่น ป.ป.ง.ได้อายัดเงินไว้ หรือเหตุอื่นใดที่จะอ้างขึ้นมาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยและมีคำสั่งต่อไป ส่วนที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำร้องพิจารณาคดีใหม่ของกลุ่มนายประพัฒน์ไว้ ก็ไม่มีผลอะไรในการหยุด ขณะที่การบังคับคดีนั้นตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง จะมีเวลา 10 ปี ซึ่งการจะขอชะลอบังคับคดี หรือจะเงินมาวางก่อนหรือการวางทรัพย์เพื่อหยุดดอกเบี้ยตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ก็ยื่นได้ แต่เป็นดุลยพินิจของศาลที่จะมีคำสั่ง อย่างไรก็ดีจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการยื่นคำร้องใดๆ ต่อศาลเหมือนที่เป็นข่าวว่าจะมีการยื่นคำร้อง
ขณะที่นายสมชาย โฆษกศาลปกครอง กล่าวถึงการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ภาครัฐ ต้องจ่ายชดใช้ค่างวดให้เอกชนตามสัญญาที่คณะอนุญาโตฯ วินิจฉัยชี้ขาดด้วยว่า หากมีการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่และศาลรับคำร้องไว้ ก็จะต้องชะลอการบังคับคดีไว้ก่อน โดย พ.ร.บ.อนุญาโต ฯ มาตรา 43(6) บัญญัติว่า ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีที่ขอให้บังคับตามชี้ขาดได้ตามสมควร ดังนั้นถ้าศาลรับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ แล้วเมื่อยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร การบังคับย่อมต้องระงับไปก่อน แต่ขณะนี้ปรากฏว่า ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำร้องขอพิจารณาใหม่ แล้วคู่กรณีจะอุทธรณ์หรือไม่ก็ยังไม่รู้ หรือจะมีใครยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เข้ามาอีกหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ คู่กรณีก็สามารถบังคับต่อได้







