เห็นชอบ 'ร่างพรบ.จัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม'

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เห็นชอบ "ร่างพ.ร.บ.จัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม"
วันที่ 3 มิ.ย.59 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณา ร่างพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่...) พ.ศ... เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำหนดให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวการวางแผนส่งเสริม พัฒนา และดำเนินกิจการเกี่ยวกับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา การสถิติ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีส่วนราชการประกอบด้วย สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ
นายสมบูรณ์ งามลักษณ์ ประธานคณะกรรมาธิการกล่าวรายงานว่า ร่างพ.ร.บ.นี้เป็นการเปลี่ยนชื่อและปรับโครงสร้างกระทรวงให้มีหน้าที่ครอบคลุม เรื่องดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีสมาชิกขอสงวนคำแปรญัตติจำนวน5คนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มเป็นการเปลี่ยนชื่อกระทรวง เท่านั้น คือกลุ่มของนพ.เจตน์ศิรธรานนท์ จำนวน 4 คน ที่ขอให้ชื่อเดิมคือกระทรวงไอซีที และนายมณเฑียร บุญตัน ที่ขอเปลี่ยนจากดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกระทรวงเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล
จากนั้นได้เปิดให้สมาชิกที่สงวนความคำแปรญัตติได้อภิปรายเหตุผล โดยนายมณเฑียร อภิปรายว่า หลักการการบริหารบ้านเมืองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงด้วยการเปลี่ยนชื่อได้ หรือปรับรูปแบบการบริหารได้และคำว่า “ดิจิทัล” ในภาษาอังกฤษเป็นคำคุณศัพท์ไม่สามารถอยู่ตามลำพังโดดๆได้ ดังนั้นการใช้คำว่า ดิจิทัลจึงต้องนำไปใช้กับคำอื่นเพื่อขยายคำนั้นๆเสมอ ตามที่เรารู้จักคือ เทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิตอลทีวี ดิจิตอลซิสเท๊ม แต่ดิจิทัลที่ปรากฏอยู่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกนำมาใช้เป็นภาษาไทยโดยไม่ได้รักษาลักษณะรูปแบบเดิม ทำให้คำว่า “ดิจิทัล” กลายเป็นคำนาม จึงเกิดความสับสนว่า เป็นทั้งคำนามและคำคุณศัพท์ซึ่งเป็นความสับสนทางภาษาตนได้แปรญัตติเป็นกระทรวงเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพื่อรักษารูปคำตามที่เราใช้ในภาษาอังกฤษ ซึ่งจะไม่ผิดทั้งรูปแบบภาษาและจุดมุ่งหมาย
นพ.เจตน์ อภิปรายว่า เป็นเชื่อที่แปลกไม่เป็นสากล ซึ่งประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ก็ล้วนมีชื่อไอซีทีไม่มีคำว่า ดิจิทัล แต่มี 2 ประเทศที่ใช้คำว่า ดิจิทัล คือ เยอรมันและออสเตรเลีย ซึ่งคำว่าไอซีทีไม่ใช่คำเก่าหรือคำโบราณเป็นคำปกติที่ใช้กันแม้ว่าจะเข้าใจว่าการเปลี่ยนชื่อเพื่อภารกิจ พวกตนไม่ขัดเข้อง และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง เพราะเรื่องไอทีเป็นทิศทางและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศแต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะก็ยังต้องทำภารกิจที่เกี่ยวข้องงานด้านเทคโนโลยีอยู่ และกระทรวงเดิมก็ยังบริหารงานได้อย่างปกติและคำว่า ดิจิทัลยังไม่ได้มีความหมายที่ชัดเจน แต่ไอซีทีเป็นชื่อที่หลายประเทศชั้นนำไอทีใช้อยู่ไม่ล้าสมัย ทำไมจึงมีการเปลี่ยนชื่อ จึงอยากให้คณะกรรมาธิการฯได้ทบทวน
ด้านนางเสาวณี สุวรรณชีพ กรรมาธิการ ฯ ชี้แจงว่า เรื่องดิจิทัลถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ทางเราก็ติดตามเรื่องนี้มาว่า 2 ปีแล้ว สิ่งที่กรรมาธิการพิจารณาก็คือ ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้เทคโนโลยี ดังนั้นการตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี นำไปปรับกระบวนการทำงานของทางราชการให้ทันสมัย อีกทั้งต้องประสานกับภาคเอกชนและภาคสังคม และ เปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารโครงการของส่วนราชการที่จำเป็นต้องเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นตัวผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านดิจิทัลขึ้นมา และร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเชื่อมโยงกับร่างพ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องดิจิทัลอีกหลายฉบับที่จะตามมา จึงขอยืนยันตามร่างเดิม
ผู้สื่อข่าวอภิปรายว่า ภายหลังที่สมาชิกอภิปรายและกรรมาธิการชี้แจงเสร็จแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยืนยัน ทำให้นายสุรชัย ได้ขอพักการประชุม 5 นาที เพื่อให้ไปหารือหาข้อสรุป เมื่อเปิดประชุมอีกครั้งนายสุรชัย แจ้งว่า จากที่หารือกันสมาชิกที่สงวนคำแปรญัตติได้ขอถอนคำแปรญัตติ เพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะใช้ชื่อตามที่เสนอมา ดังนั้น จึงคงตามร่างเดิม คือใช้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติในวาระ 3 เห็นชอบด้วยคะแนน 122 เสียงงดออกเสียง7 เสียง ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป




