ไฟเขียว 'ดีเอสไอ' ออกหมายเรียก 'สมเด็จฯช่วง'

รมว.ยธ. ไฟเขียว "ดีเอสไอ" ออกหมายเรียก "สมเด็จฯช่วง" เข้าให้ปากคำ ตอบคำถามเท่าที่รู้ ไม่ใช่ให้ทนายตอบแทน
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการเข้าสอบปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรณีมีชื่อครอบครองรถเบนซ์โบราณ ขม. 99 กรุงเทพมหานคร หลังเข้าพบสมเด็จช่วงแล้วทนายอ้างยังไม่ขอให้ปากคำแต่ให้ทำหนังสือแจ้งประเด็นคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ตนยอมรับว่ารู้สึกควันออกหู
เพราะเป็นผู้สั่งการให้ดีเอสไอนำดอกไม้ ธูปเทียนแพไปกราบ และกำชับให้ผู้ที่นำคณะพนักงานสอบสวนไปต้องเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ และห้ามทุกคนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว การให้เกียรติไม่ได้ผิดกฎหมาย อะไรที่สามารถทำได้ก็ทำ ไม่มีเลือกปฏิบัติ กระทั่งดีเอสไอถูกกระทำทั้งยึดโทรศัพท์ และปฏิเสธการให้ปากคำทั้งที่ฝ่ายวัดปากน้ำฯเป็นผู้ประสานกำหนดวัน เวลาเข้าพบ ตนก็สั่งให้พนักงานสอบสวนกลับมาตั้งหลักห้ามให้สัมภาษณ์ตอบโต้ ย้ำว่าที่ผ่านมาได้ให้เกียรติแล้ว แต่เมื่อทนายวัดปากน้ำฯออกมาแถลงข่าวจนทำให้เกิดความเสียหายกับภาพการทำงานของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ หลังจากนี้ตนสั่งการให้อธิบดีดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมาย วันนี้สามารถออกหมายเรียกได้เลย หากไม่มาตามหมายเรียกตามขั้นตอนก็ต้องไปขอศาลออกหมายจับ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ตนสอบถามจนได้รับความชัดเจนแล้วว่าในชั้นสอบปากคำพยาน พยานต้องให้การด้วยตนเอง ตอบได้หรือไม่ได้ก็ว่าไปตามที่รู้ หากทำเป็นลายลักษณ์อักษรได้ก็อยากทำแต่หากเป็นเช่นนั้นจะได้คำตอบเมื่อไหร่ และหากมีประเด็นต่อเนื่องก็ต้องถามกลับไปกลับมาไม่จบ ย้ำว่าจะไม่มีการแจ้งประเด็นเป็นลายลักษณ์อักษรเพราะทำไม่ได้ทางการสอบสวน เรื่องแบบนี้เจ้าตัวต้องตอบเอง ทนายตอบแทนได้ ในชั้นนี้เป็นการสอบปากคำในชั้นสอบสวน ไม่ใช่การเบิกความในชั้นศาลที่ทนายจะซักค้านได้
"การที่ทนายอ้างว่าสมเด็จฯช่วงไม่รู้เรื่องรถคันดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการให้ปากคำไม่ได้ เจตนาในหนังสือระบุไว้หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ในการสอบปากคำ พยานตอบได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น เจตนาคือต้องไปสอบ รู้คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ แต่จะให้ทนายตอบแทนไม่ได้ นี่เป็นเพียงการให้การชั้นสอบสวน คดียังต้องผ่านการพิจารณาในชั้นอัยการอีก"รมว.ยุติธรรม กล่าว







