'ชูวิทย์' เริ่มที่'บาร์เบียร์' จบที่'บาร์เบียร์'

'ชูวิทย์' เริ่มที่'บาร์เบียร์' จบที่'บาร์เบียร์'

"ชูวิทย์"กับชีวิตที่ฉูดฉาด : เริ่มที่ “บาร์เบียร์” จบที่ “บาร์เบียร์”

"ชีวิตของชายคนนี้โลดโผนยิ่งนัก คนที่ชื่นชอบพอเขาคงมีพอๆกับคนที่เกลียด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นจุดสนใจ หลายคนบอกเขาเป็นนักการตลาดชั้นเยี่ยม หลายคนบอกเขาเป็นนักประชาสัมพันธ์ตัวเอ้ ยามอยู่ในวงธุรกิจ เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ก็อยู่ในธุรกิจที่เรียกกันว่า“สีเทา”ยามอยู่ในวงการเมือง เขาผ่านมาทั้งพรรคเล็ก พรรคใหญ่ ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เคยถูกครหาเป็น“สีเทา”โดยอ้างว่าเป็นไส้ศึก ที่รัฐบาลส่งมาเป็นฝ่ายค้านแต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือไม่ว่าใครจะชอบหรือจะชังเขาอย่างไรเขาจะอยู่ในกระแสสังคมเสมอ“ชูวิทย์”เป็นที่รู้จักในวงสังคมอย่างกว้างเมื่อ กลางปี พ.ศ. 2546 เมื่อปรากฏข่าวตกเป็นผู้ต้องหาในคดีรื้อบาร์เบียร์ใน ซ.สุขุมวิท 10 และต่อมาเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ แต่อีกไม่นานเขาก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล และมีการให้การจากเขาว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มไป ท่ามกลางการตั้งคำถามว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่"   

จากจุดนี้เอง“ชูวิทย์ ”เหมือนกับยืนคนละข้างกับตำรวจและทำให้ต่อมาเขาเปิดโปงพฤติการณ์ไมชอบมาพากลของตำรวจอีกหลายๆอย่างเช่น ส่วย รีดไถ หรือการปล่อยให้มีการเปิดบ่อนในพื้นที่และจากนั้นทำให้คนทั่วไปย้อนกลับไปดูว่าเขาเป็นใครมาจากไหน จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงในวงสังคมเลย หากแต่เขาเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง 

แต่ด้วย"ธุรกิจสีเทา"ที่เขาทำอยู่ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักโดยเมื่อเขาจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกาก็มาทำธุรกิจของตัวเอง เปิดอาบอบนวดและขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และนี่เป็นที่มาของฉายา“เจ้าพ่ออ่าง” ถามว่าก่อนนี้สายสัมพันธ์ของเขากับตำรวจเป็นอย่างไร คำตอบง่ายๆคือดีมาก เขาสนับสนุนการทำงานของตำรวจเรื่อยมา 

ก่อนหน้านี้หลายๆแยกใน กทม. เราจะเห็นป้อมตำรวจติดป้ายหราว่า“สนับสนุนโดยมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฏ์”ซึ่งก็คือชื่อของบุตรชายเขานั่นเองนอกจากธุรกิจอาบอบนวด เขายังเป็นเจ้าของโรงแรมชื่อ“เดอะ เดวิส”ในซอยสุขุมวิท 24 อีกด้วยจากนั้นเพียงหนึ่งปี คือในปี 2547“ชูวิทย์”ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคต้นตระกูลไทยแม้จะได้เพียงอันดับสาม โดยพ่ายนายอภิรักษ์ โกษะโยธินจากพรรคประชาธิปัตย์ และนางปวีณา หงสกุล ผู้สมัครอิสระ แต่เขาก็กวาดมาได้ถึง 334,168 คะแนน ซึ่งถือเป็นคะแนนที่สูงทำให้เขาประกาศกร้าวว่าจะนำพรรคต้นตระกูลไทยลงสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไป 

แต่ด้วยคะแนนที่สูงนี่เอง ทำให้เขาเริ่มถูกจับตาโดยพรรคการเมืองใหญ่ และที่สุดเขาก็นำพรรคต้นตระกูลไทยยุบรวมกับพรรคชาติไทยโดยได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค และได้เป็น ส.ส. แบบบบัญชีรายชื่อ แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น ส.ส.จากนั้นปี 2549 เขาก็ได้ลาออกจากจากพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัครสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยระบุว่า ยังไม่พ้นจากสถานะภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบกำหนด 1 ปี ก่อนที่จะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย เขาจึงกลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยอีกครั้ง  

อย่างไรก็ตาม หนทางของเขากับพรรคชาติไทยก็ไม่ราบรื่นเมื่อเขาเกิดความขัดแย้งกับนายบรรหาร ศิลปอาชาหัวหน้าพรรคชาติไทย จนกระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 “ชูวิทย์”ประกาศว่าจะไม่ขอลงเลือกตั้งในปลายปีไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม หลังได้รับการจัดให้เป็นตัวแทนพรรค สมัครรับเลือกตั้งแบบรายชื่อเป็นลำดับที่ 2 ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยยกลำดับที่ 1 ให้กับพลเอก อัครเดช ศศิประภา อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึงโจมตีพรรคชาติไทยที่ จากเดิมอยู่คนละข้างกับพรรคพลังประชาชน แต่แสดงท่าทีว่าจะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนและได้โจมตีนายบรรหารอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนลาออกจากพรรคในที่สุด โดยส่งใบลาออกทางมอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งจากนั้นนายชูวิทย์ ก็เสมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนายบรรหารและพรรคชาติไทย อาทิ ตอนที่นายบรรหารไปหารือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนการเลือกตั้ง ปี 2549 ที่ร้านช้อนเงินช้อนทอง เขาก็ไปโชว์เปิบพิสดารหน้าร้านด้วยเมนูปลาไหลต่างๆ อาทิ“ปลาไหลผัดสะตอ”“ต้มโคล้งโครงไก่ใส่ปลาไหล”ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองทั้งสิ้น    

จากนั้นในปี พ.ศ. 2551 “ชูวิทย์” ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้เพียงอันดับสามเช่นเดิม โดยอันดับหนึ่งขณะนั้นคือนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนอันดับสองคือ นายประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชน  

อย่างไรก็ตาม ก่อนวันเลือกตั้ง"ชูวิทย์"ได้ไปออกรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แต่ก็ได้ทำร้ายร่างกายนายวิศาล ดิลกวณิช ผู้ดำเนินรายการ โดยระบุว่าทำไปเพราะโมโหที่วิศาลถามคำถามไม่เป็นธรรมแก่ตนทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2551 “ชูวิทย์”ได้จดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองอีกครั้งในชื่อ “พรรคสู้เพื่อไทย”แต่ต่อมาในปี 2552 ก็ถูกยุบพรรคลงเนื่องจากมีสมาชิกไม่ถึง 5,000 คนจากนั้นเขาก็มาจดตั้งพรรครักประเทศไทยในปี 2553 และประกาศลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปในปี 2554 โดยมีจุดยืนว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อเพื่อตรวจสอบรัฐบาล โดยระหว่างการหาเสียงนายชูิทย์ได้สร้างสีสันอยู่หลายครั้งอาทิใช้สุนัขที่เขาเลี้ยงชื่อ“โมโต โมโต้”พันธุ์บูลเทร์เรียร์ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ โดยการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรครักประเทศไทย ได้รับคะแนนเสียงถึง 998,603 ะแนน และได้มี ส.ส. ถึง 4 ที่นั่งโดยเมื่อเข้าสภาเขาก็สร้างความฮือฮา เช่นไปนั่งในที่ของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สภาทำไม่เหมาะสมเพราะให้พรรคของเขานั่งด้านหลัง

รวมทั้งการจัดให้พรรคชาติไทยพัฒนา นั่งตรงกลางห้องประชุม ทั้งที่จริงแล้วตามหลักพรรคชาติไทยพัฒนา ควรนั่งฝั่งขวาและในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เขาก็ได้แสดงคลิปวีดิโอบ่อนการพนันขนาดใหญ่บริเวณถนนรัชดาภิเษก จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการอภิปรายของเขาทุกครั้งมักมีคลิปประกอบ เช่นคลิปบ่อนพนัน คลิปสถานค้าบริการ หรือกระทั่งเมื่อเกิดความวุ่นวานในสภาเขาก็ยังถ่ายคลิปและเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ทเวิร์ก จนได้รับสมญาว่า“เจ้าพ่อคลิป" 

ทั้งนี้ช่วงที่มีการชุมนุมของ กปปส. นายชูวิทย์ก็เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมอยางเผ็ดร้อนหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อเกิดการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เขาก็ถูก คสช. เรียกเข้าไปรายงานตัว แต่จากนั้นก็ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยโพสต์แสดงความเห็นทางการเมืองผ่านเฟซบู๊คส่วนตัวเป็นระยะๆ จนที่สุดวันที่เขาถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีก็มาถึงจากคดีที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจนทางเดินชีวิตก้าวเข้าสู่การเมือง