จำคุก 5 ปี'กำนันเซี๊ยะ' ฮั้วประมูล

ฎีกาตัดสิน"กำนันเซี๊ยะ"ฮั้วประมูล ปี 44 แก้จำคุก 5 ปี จากเดิมอุทธรณ์ยกฟ้อง ส่วน"เมีย–ลูกน้องสาว" เจอคุกคนละ 4 ปี
ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกากำนันเซี๊ยะ ฮั้วประมูล ในคดีหมายเลขดำ อ.4077/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือ กำนันเซี๊ยะ อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ , นางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยา , น.ส.วรรณา ล้อไพบูลย์ คนสนิทนางเขมพร และนายถวิล หรือน้อยหนวด สวัสดี หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนายสมชาย จิตตหฤษฎ์ หรือเลขาจุก เลขานุการส่วนของกำนันเซี๊ยะ (เสียชีวิตแล้ว) เป็นจำเลย ที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นอั้งยี่ , กรรโชกทรัพย์ , หน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542
ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.46 บรรยายความผิดสรุปว่า เมื่อใดไม่ปรากฏชัดในปี 2542 -17 พ.ค.44 จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันเป็นสมาชิกชื่อกลุ่ม กำนันเซี๊ยะ – เขมพร โดยเป็นธุระจัดหาให้มีการเสนอราคา และกีดขวางผู้อื่นไม่ให้มีการเสนอราคาสินค้า โครงการก่อสร้างต่างๆ ใน จ.กาญจนบุรีหลายโครงการ โดยเมื่อเดือน พ.ค.44 จำเลยร่วมประชุมนัดแนะกำหนดแผนการ จัดสรรแบ่งงานผลประโยชน์แก่สมาชิกในการเข้าร่วมโครงการประมูลงานก่อสร้างหลายโครงการใน จ.กาญจนบุรี และ จ.เพชรบุรีแล้ว ต่อมาวันที่ 17 พ.ค.44 จำเลยที่ 4 , นายสมศักดิ์ ศรีสุข และนายสมชาย จิตตหฤษฎ์ กับพวกอีกหลายคนซึ่งเป็นจำเลยที่ศาลอาญาพิพากษาลงโทษไปแล้วเมื่อปี 2546 ได้ร่วมกันกระทำความผิดข้อหาอั้งยี่เข้าขัดขวางไม่ให้ บริษัท วัสดุเซนเตอร์ จำกัด เข้าเสนอราคา โดยได้กักตัวนายเดชา มาศวรรณา ตัวแทนบริษัทไว้พร้อมเสนอให้รับเงิน 10,000บาท เพื่อไม่ให้เข้าร่วมการเสนอราคา แต่เมื่อนายเดชาไม่ยินยอม นายสมศักดิ์กับพวกได้ใช้กำลังประทุษร้าย เหตุเกิดที่ ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา และ ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ต่อมาจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนพร้อมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.48 ให้จำคุก 5 ปี นายประชาหรือกำนันเซี๊ยะ ฐานเป็นหัวหน้า หรือผู้มีตำแหน่งในอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรค 2 ส่วนนางเขมพร ภรรยา , น.ส.รรณา และนายถวิล จำเลยที่ 2-4 ให้จำคุกคนละ 4 ปี ฐานเป็นอั้งยี่
ขณะที่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.50 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหมด วันนี้ เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่า กำนันเซี๊ยะ กับพวก จำเลยที่ 1 - 3ไม่มาศาล มีเพียงทนายความผู้รับมอบอำนาจ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลย จนครบ 1 เดือนแล้วหลังจากที่ไม่มาศาลหลายนัด ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาฎีกา ลับหลังจำเลย
ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า โจทก์ มีพยาน 14 ปาก ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรกาญ หรือกลุ่มบ้านใหญ่ หรือกลุ่มกำนันเซี๊ยะ-เขมพร ซึ่งพยานต่างเบิกความสอดคล้องกันว่า เดิมที่มีผู้ก่อตั้งกลุ่มยูโรกาญจน์ เพื่อรวบรวมสมาชิกที่จะยื่นซองประกวดราคาโครงการของรัฐต่างๆ ในพื้นที่จ.กาญจนบุรี โดยกีดกันบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกเข้ายื่นซองประกวดราคาแข่งขัน ซึ่งการเข้าเป็นสมาชิกต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทเพื่อเป็นค่าดำเนินการ และเมื่อสมาชิกได้ร่วมการประมูลจะต้องให้ค่าตอบแทนแบ่งสัดส่วน 5 %ก่อนยื่นซอง และเมื่อชนะการประกวดราคาแล้วต้องให้ค่าตอบแทนอีก 5% ของราคาที่ประกวด
โดยภายหลังนายประชา จำเลยที่ 1 เป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจำเลยเป็นที่รู้จักของเอกชนในพื้นที่ จึงถูกเชิญมาเป็นที่ปรึกษาของกลุ่ม และภายหลังถูกเลือกให้เป็นประธานกลุ่ม ซึ่งได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 50,000 บาท และมีการจัดประชุมกลุ่มทุกเดือนที่บ้านพักของจำเลยที่ 1 อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นประธานการประชุม นางเขมพร จำเลยที่ 2 เป็นรองประธาน ส่วน น.ส.วรรณา จำเลยที่ 3 เป็นเลขานุการจดบันทึกการประชุม รวมทั้งเป็นผู้ติดตามทวงถามเงินค่าตอบแทนจากการประมูล แต่ภายหลังนางเขมพร จำเลยที่ 2 นั่งเป็นประธานการประชุมเพื่อแจกแจงรายละเอียดในการยื่นซองประมูลโครงการต่างๆ แทนนายประชา จำเลยที่ 1 บ่อยครั้ง
นอกจากนี้โจทก์ยังมีผู้เสียหาย ซึ่งเป็นบริษัทวัสดุก่อสร้าง เบิกความว่า วันเกิดเหตุที่ 17 พ.ค.44 จะเข้ายื่นซองประกวดราคาโครงการของกรมชลประทาน แต่ถูกกลุ่มของจำเลยกีดกันและหน่วงเหนี่ยวตัวเพื่อที่จะไม่ให้เข้าร่วมการยื่นซองประมูล ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ขณะเกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แฝงตัวได้เข้าจับกุมกลุ่มของจำเลยดังกล่าว 7 คน ซึ่งถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาไปแล้วฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย โดยกลุ่มของจำเลยนี้เป็นผู้ช่วยส.ส.ของจำเลยที่ 1 ที่นำกำลังคน ซึ่งเป็นทหารมาคอยกีดกันบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกห้ามยื่นซองประกวดราคา
โดยพยานโจทก์ดังกล่าวถือเป็นประจักษ์พยาน ซึ่งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นกลุ่มสมาชิกยูโรกาญดังกล่าวอาจเป็นผลร้ายต่อตนเอง จึงเชื่อว่าพยานล้วนเบิกความตามที่ได้รู้เห็น จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ส่วนที่จำเลยที่ 1-3 นำสืบต่อสู้อ้างว่า ไม่รู้เห็นเรื่องการประชุม และไม่ทราบเรื่องการกีดกันการประมูลในที่เกิดเหตุนั้น เป็นการปฏิเสธต่อสู้ลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
การกระทำของจำเลยที่ 1-3 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 วรรคสอง , 210 , 213 , 310 และ 391 และพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ฯ มาตรา 4-6 ซึ่งเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดมาตรา 209 วรรคสอง ฐานเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งในคณะบุคคล ซึ่งเป็นอั้งยี่
จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกนายประชา หรือกำนันเซี๊ยะ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 5 ปี และให้จำคุกนางเขมพร และน.ส.วรรณา จำเลยที่ 2-3 คนละ 4 ปี โดยให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสามมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งถึงที่สุดแล้วต่อไป




