หลงประเด็น

หลงประเด็น

การร่างรธน. ประชาชนและเวลาจะเป็นสิ่งบอกเองว่า คำว่า“หลงประเด็น” คำพูดแบบนี้เป็นการพูดเพื่อชักจูงให้ออกไปจากประเด็นที่เป็นสาระสำคัญกันแน่

จนถึงขณะนี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งหากมองเรื่องกระบวนการทางการเมืองแล้ว เราสามารถแบ่งแยกได้เป็นสามส่วนด้วยกันคือ  1.กระบวนการเข้าสู่อำนาจ  2.กระบวนการใช้อำนาจ  และ 3.กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจ  

โดยล่าสุดยังอยู่ที่ส่วนแรกกล่าวคือเป็นส่วน “กระบวนการเข้าสู่อำนาจ”  ซึ่งก็หมายถึงกระบวนการเลือกตั้งนั้นเอง ทั้งนี้ในส่วนระบบเลือกตั้งที่ขณะนี้ได้มีการปรับปรุงหลังจากที่ได้รับเสียงท้วงติงเป็นอย่างมาก โดยที่สุดพวกเขายอมถอยระบบการตัดคะแนนผู้ชนะ ส.ส. แบบแบ่งเขต ไม่นำมานับรวมในการคำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่  กลับมาเป็นใช้ทุกคะแนน   

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ยอมถอยคือการใช้บัตรเลือกใบเดียว   ซึ่งทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การนำคะแนนบัญชีรายชื่อซึ่งถือเป็นคะแนนนิยมของพรรค มาผูกติดกับคะแนนแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นคะแนนความนิยมของตัวบุคคลนั้นมีเป้าประสงค์อย่างไร 

เพราะที่ผ่านมานั้นการใช้ระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ 1.เลือกคนที่รัก 2.เลือกพรรคที่ชอบ ก็สามารถตอบสนองหลักการพื้นฐานของการมี ส.ส. สองระบบได้เป็นอย่างดี และประชาชนก็เข้าใจในกติกาดังกล่าวพร้อมทั้งยอมรับ 

ทั้งนี้เชื่อกันว่า พวกเขามีความเป็นไปได้สูงว่า พวกเขาต้องการเปลี่ยนคะแนนแบบแบ่งเขตของพรรคระดับกลางให้แปรเป็นคะแนนบัญชีรายชื่อเพื่อทอนจำนวน ส.ส.  ของพรรคใหญ่ลง เนื่องจากทีผ่่านมา พรรคขนาดกลางมักจะได้ ส.ส. แบบบ่งเขต แต่ในเขตที่พวกเขาได้นั้นคะแนนแบบบัญชีรายชื่อมักเป็นของพรรคใหญ่มากกว่า  

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนับสนุนระบบนี้นอกจากกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแล้วยังมี  "วิษณุ เครืองาม"รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับ “มีชัย ฤชุพันธ์”ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อย 

"วิษณุ" มองในมุมของเขาว่า การใช้บัตรเลือกตั้งหนึ่งหรือสองใบ เป็นการ "หลงประเด็น"  เพราะประเด็นของเขาคือคือข้อมูลในบัตรเลือกตั้งจะเอาไปใช้ได้หรือไม่  

คำถามที่ต้องถามย้อนกลับไปยัง"วิษณุ"คือ  แล้วการเลือกตั้งบัตรสองใบ ประชาชนใช้สิทธิเลือกได้ทั้งพรรคและทั้งคน ทำให้ข้อมูลในบัตรเสียไปหรือไม่   

สุดท้ายประชาชนและเวลาจะเป็นสิ่งบอกเองว่า  คำว่า“หลงประเด็น” นั้น  “หลงประเด็น” จริงหรือไม่ หรือจริงๆแล้วคำพูดแบบนี้เป็นการพูดเพื่อชักจูงให้ออกไปจากประเด็นที่เป็นสาระสำคัญกันแน่ 

นอกจากนี้ในกระบวนการการเข้าสู่อำนาจยังได้มีการเคาะว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" ชุดใหม่น่าที่จะมี 7 คน ไม่ใช่ 5 คนเหมือนที่ผ่านๆมา 

เรื่องจำนวนจริงๆไม่ใช่ปัญหาจะมีเท่าไหร่ก็น่าจะได้ แต่สิ่งที่จะกำหนดจำนวนคนคือ "หน้าที่" เพราะทุกอย่างล้วนต้องสัมพันธ์กัน  รวมถึงความประสงค์ที่ต้องการให้มีจำนวนที่มากขึ้นด้วย 

เพราะที่ผ่านมาก็มีความคิดที่จะเพิ่มจำนวน กกต.  โดยเห็นว่าหากจะให้มีอำนาจในเชิงตุลาการก็ควรมีจำนวนที่มากขึ้น เพื่อให้เกิดความรอบคอบ มิใช่เพียงการให้ชะดตากรรมกำหนดอยู่ในมือคนเพียง 5 คนเท่านั้น  

อย่างไรก็ตาม หากเสร็จในเรื่องกระบวนการเข้าสู่อำนาจ ก็ขอให้จับตาดูการเขียนเรื่องการใช้อำนาจ และการตรวจสอบการใช้อำนาจ ที่เชื่อได้ว่า จะเข้มและเป็นที่ถกเถียงในสังคมไม่แพ้กัน