ชี้นำตัวผู้ต้องหาแถลงออกสื่อผิดกม. ทำแผนประกอบก็ผิด

ชี้นำตัวผู้ต้องหาแถลงออกสื่อผิดกม. ทำแผนประกอบก็ผิด

"เวทีเสวนาฯ" ชี้นำตัวผู้ต้องหาแถลงออกสื่อผิดกม. ทำแผนประกอบก็ผิด ระบุเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะสถานะเป็นผู้ต้องหาที่ศาลยังไม่ตัดสิน

ห้ามเผยแพร่รูป-ชื่อ-ที่อยู่และอัตลักษณ์ 

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเสวนาเรื่อง “สื่อกับการละเมิดสิทธิผู้ต้องหา” ซึ่งจัดโดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ร่วมกับ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังการเสวนาและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเต็มห้องประชุม ทั้งนักสิทธิมนุษยชน องค์กร มูลนิธิ เครือข่ายผู้บริโภค นักวิชาการด้านสื่อ เจ้าของสื่อ บรรณาธิการและหัวหน้าข่าวนักศึกษาและประชาชนทั่วไป 

นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า มีคำร้องที่ส่งเข้ามาที่กรรมการสิทธิ์จำนวนที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐและสื่อในลักษณะของการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ต้องหา โดยมีคำร้อง 2 ประเด็น คือ 1.มีการนำผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเพื่อทำแผนประทุษกรรม และ2.มีการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งการนำผู้ต้องหาไปนำชี้ที่เกิดเหตุที่ร้องกรรมการสิทธิ์จึงถามว่าจำเป็นหรือไม่ แล้วถ้าจำเป็นควรจะมีลักษณะอย่างไรที่จะชอบด้วยกฎหมายและไม่ละเมิด นั่นคือสาระสำคัญ เพราะเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเจอขบวนนักข่าวและ ไม่มีเชือกกั้น ปล่อยให้ย่ำทำลายพยานหลักฐาน ก็กลายเป็นว่ากลุ่มบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปทำลายหมดแล้ว แต่ในต่างประเทศมีเชือกกั้น คลุมโม่ง ไม่ให้เห็นอัตลักษ์ผู้ต้องหา จึงเป็นสาระที่ตำรวจต้องระมัดระวัง และไปทำแผนไม่ควรบอกประชาชน เพราะประชาชนจะไปรุมยำซึ่งเป็นการตัดสินโดยประชาชน รวมทั้งสื่อต้องระวังไม่ควรถ่ายเครื่องพันธนาการ โซ่ตรวน โซ่ล่าม กุญแจเท้า กุญแจมือ ด้วย

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การนำผู้ต้องหาไปแถลงต่อสื่อนั้น กสม.เคยประชุมเรื่องนี้ 8 ครั้ง เพราะร้องเรียนเข้ามาบ่อย ซึ่งตนได้เรียนเชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องมาประชุม มี 2 ประเด็นที่เห็นตรงกันคือมีระเบียบกำหนดว่าการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวทำไม่ได้ แต่การปฏิบัติยังสวนทางกับระเบียบ คือเจ้าหน้าที่ยังตั้งโต๊ะนำผู้ต้องหามานั่งเรียงแถว นำยาบ้า ของกลาง มาแถลง ซึ่งต้องดูหลักกฎหมาย เพราะตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 ในมาตรา39 วรรคสอง บัญญัติว่า“ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด”และวรรคสามระบุว่า“ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”และมาตรา35 ระบุว่า “สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครองการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัวเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวจะกระทำมิได้เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์สาธารณะ”

“นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิพลเมือง ปฏิญญาสากลตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งการแถลงข่าวถามว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะในมุมมองของสิทธิ์ถือว่าแถลงได้แต่ให้แถลงเฉพาะรายละเอียดความคืบหน้าของคดี บอกว่าตำรวจกำลังติดตามจับกุมคนร้าย จับกุมได้แล้วสองคนโดยไม่ต้องบอกชื่อเขา อย่าสรุปว่าจับผู้ร้ายได้แน่นอนว่าคนคนนี้ทำผิด ต้องไม่เอาผู้ต้องหาออกมาแถลงข่าว อย่าเอาผู้ต้องหามานั่ง ให้แถลง อย่าบอกชื่อ ที่อยู่ อย่าถ่ายรูปที่บ่งบอกอัตลักษณ์ อีกทั้งมุมมองของศาลถือว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์เพราะเป็นเพียงเหตุประกอบเท่านั้น แต่การเอาหน้าผู้ต้องหามาเรียงทำให้สังคมพิพากษาไปแล้ว กระทบสิทธิผู้ต้องหา เป็นการพัฒนาผู้กระทำความผิดว่าทำผิดต้องแนบเนียนกว่าตัวอย่าง แต่ทั้งนี้คนที่นำมาแถลงข่าวจะบอกว่ามันดี เพราะเป็นการป้องปรามบุคคลไม่ให้ทำผิด ทำให้สังคมระมัดระวัง แต่ในเชิงของรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการละเมิดสิทธิ์ แล้วลูกเต้าครอบครัวเขาจะอยู่อย่างไรต่อไป"กรรมการสิทธิ์ฯ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวยกตัวอย่างว่า เคยมีกรณีที่ว่า สื่อนำเสนอข่าวพ่อจนลูกเขาอยู่ในชั้นเรียนไม่ได้ เพื่อนในโรงเรียนบอกว่าพ่อเขาไปกระทำชำเราทั้งที่ศาลยังไม่ได้พิพากษา และยังมีหลายเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงคือปล่อยให้สื่อไปสัมภาษณ์ผู้ต้องหาว่าทำผิดยังไง ซึ่งสื่อทำหน้าที่เป็นศาลแล้วหรืออย่างไร แล้วก็สรุปว่าคนคนนี้เป็นผู้ร้ายแน่นอน ส่วนการกราบขอขมา ถามว่าถ้าศาลจะตัดสินตรงข้ามได้หรือไม่ ทั้งที่ต้องไปพิสูจน์ในศาลในกระบวนการรับฟังพยานหลักฐาน แต่สังคมกลับมองว่าเขาผิดไปแล้ว

กรรมการสิทธิ์ กล่าวเสนอว่า ตำรวจต้องมีนโยบายออกมาให้ชัดเจน อาทิ นโยบายให้ใช้ตำรวจหรือหุ่นทำแผนประกอบคำรับสารภาพแทนได้หรือไม่ และเรื่องนี้กรรมการสิทธิ์ฯเคยรับฟังข้อเสนอไปในสื่อส่วนภูมิภาคลายครั้ง ที่สรุปว่าควรจะมีคู่มือ และการทำความเข้าใจ คู่มือให้การทำข่าวอยู่ในกติกาว่าการนำเสนอข่าวอย่างไรไม่ให้กระทบสิทธิ์ไม่ให้ถูกฟ้อง และตนก็เชื่อว่าสื่อสนใจเรื่องนี้

ด้าน นายวีรศักดิ์ โชติวานิช สภาทนายความ กล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ต้องหาไม่เรียกค่าเสียหายกับสื่อที่ละเมิดสิทธิ์หรือมีแต่มีจำนวนน้อย เพราะเขาไม่มีกำลังไม่มีทุน และไม่รู้ช่องทางว่าจะติดต่อหน่วยงานไหนในการเรียกร้อง พูดง่ายๆว่าเขาเข้าไม่ถึงความเป็นธรรม แต่หากมาสภาทนายความก็จะฟ้องให้ และต้องเข้าใจว่าคนไทยอะไรที่นานๆเข้าใจที่อยากฟ้องคดีก็เปลี่ยนใจไม่ฟ้องดีกว่า คือถอดใจ เพราะตัวเองก็ทนทุกข์ทรมานมานานแล้ว แต่กรณีนี้เริ่มมากขึ้นเพราะเริ่ม ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องนี้คิดว่าผู้บังคับใช้กฎหมายนั้นไม่นำกฎหมายมาบังคับ และประเทศไทยมีกฎหมายเยอะมาก แต่ทว่าผู้บังคับใช้ใช้กฎหมายไม่ถูก กฎหมายบางฉบับใช้ครั้งเดียวก็เลิก ซึ่งมีการรวบรวมกฎหมายทั้งหมดพบว่ามีหลายพันฉบับที่มีความซ้ำซ้อนกัน ขัดกันเอง ขัดกับรัฐธรรมนูญก็มี คิดว่าควรจะมีการปรับปรุงกฎหมาย

ขณะที่มุมมองของนักวิชาการด้านสื่อ นายธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน กล่าวเปิดเวทีเสวนาว่า เคยมีคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ที่เคยห้ามไม่ให้ทำข่าวแถลง ถ่ายภาพผู้ต้องหา เว้นแต่จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งตนเคยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตำรวจบางท่าน เขาระบุ4เหตุผลในการแถลงข่าวในวงการตำรวจว่า 1.เป็นนโยบายของนายตำรวจระดับสูงเพื่อแถลงผลงาน 2.บางครั้งสื่อมวลชนเองก็บอกให้จัดแถลงข่าวหน่อยเพื่อให้ได้ข่าว 3.ตำรวจหรือสื่อต้องการเสนอข่าวเพื่อให้ประชาชนรับทราบว่านี่คือตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และ4.เพื่อประณามและประจานสำหรับผู้ต้องหาที่กระทำผิดที่ต้องให้ได้รับความอับอาย แต่ทั้งนี้ในทางสากลผู้ต้องหาถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะถูกศาลพิพากษา ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนระบุว่าการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว การทำแผนประกอบคำรับสารภาพหรือประทุษกรรมถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และที่ผู้ต้องหาไม่กล้าสู้สายตานักข่าว เพราะอาจจะรู้สึกเสียหายและอับอาย แต่ฝั่งตำรวจมองว่าเป็นการป้องปรามอาชญากรรม ที่ประชาชนอาจจะดูคุ้นชินและมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ตำรวจก็แถลงข่าวแบบนี้ตลอด

“ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าเมื่อผู้ชมเห็นภาพแบบนี้ประชาชนจะรู้สึกดีใจที่จับตัวคนร้ายได้เสียที และปักใจเชื่อว่าคนนี้นี่คือคนร้าย 100% ซึ่งเคยมีตัวอย่างที่ประเทศสเปนที่ว่าผู้ต้องหาที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้วปรากฏว่าศาลตัดสินว่าเขาไม่ผิด เขาจึงฟ้องศาลจนศาลพิพากษาให้ลบข้อมูลและข่าวที่มีเกี่ยวกับเขาทั้งหมดย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งสื่อต้องถอดชิ้นข่าวเขาย้อนหลัง 10 ปี และกูเกิ้ลก็ต้องลบข้อมูลด้วยเช่นกัน เขาร้องที่ประเทศสเปน เขาสู้มา 10ปี และกูเกิ้ลก็ไม่เห็นด้วยเพราะเขามีหน้าที่เผยแพร่เขาไม่ได้ทำข่าว แต่สุดท้ายก็ต้องยอม ซึ่งจะเป็นมาตรฐานทั่วโลกแล้ว”นายธาม กล่าว

นักวิชาการด้านสื่อ ยังกล่าวถึงการถ่ายภาพผู้ต้องหาด้วยว่า ในข่าวไม่ควรมีการเปิดเผยกลวิธีของการก่ออาชญากรรมที่ทำให้คนดูรู้ช่องทางในการทำผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นการให้รายละเอียดที่มากเกินไปในข่าว และเคยมีคนบอกว่าช่างภาพสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งถ่ายภาพไม่ชัด ถ่ายเป็นหรือไม่ แต่ช่องอื่นๆทำไมมีการเปิดเผยอัตลักษณ์ มีทั้งรอยสักรอยแผลเป็น ทั้งที่ความจริงอะไรที่เป็นอัตลักษณ์ถ่ายไม่ได้ เพราะภาพแบบนี้มีมาตรฐานสากล ซึ่งต้องถ่ายกวาด ถ่ายกว้างและถ่ายไกล ซึ่งช่างภาพก็เคยถามว่าถ้าไม่ให้ถ่ายศพแล้วจะให้ทำข่าวยังไง ซึ่งเรื่องนี้มีกลวิธีในการถ่ายภาพ ในการหลบ หลีกเลี่ยง หรือ “กว้าง กวาด ไกล” ไม่ต้องเข้าไปใกล้ๆให้เห็นศพ และไม่ให้เห็นอัตลักษณ์ เพราะตนสงสัยว่าทำไมชอบถ่ายรอยสักของเขาเหมือนจะบอกว่าถ้าเป็นโจรต้องมีรอยสัก ซึ่งเป็นการตรีตราประทับ หรือภาพของการกราบขอขมาลาโทษ มีการจุดธูปเทียนมาขอโทษ ก็เป็นประเด็นว่าเป็นการทำงานแบบสากลตรงตรงมาของตำรวจหรือไม่ ซึ่งในอดีตเคยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นำผู้ต้องหามาแถลงข่าว แล้วเขียนป้ายด้านหน้าว่า “อมนุษย์ เดนมนุษย์” เป็นป้ายชื่อของผู้ต้องหา ที่กรรมการสิทธิมนุษยชนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ตำรวจต้องมาคิดว่าทำได้หรือไม่ เพราะไม่ได้เป็นการทำให้เขารู้สึกสำนึกผิดอะไร

ส่วนตัวแทนสื่อและองค์กรสื่อ นายวัชรินท์ กลิ่นมะลิ อดีตรองนายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนเป็นนักข่าวและช่างภาพข่าวอาชญากรรม ซึ่งตนมองว่าการสมัครงานเข้ามาก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ แล้วจะให้เขาทำได้อย่างไร เพราะนักข่าวรุ่นใหญ่ปลูกฝังมาแบบนี้ว่าคนไทยชอบเสพข่าวแบบนี้ สื่อยักษ์์ใหญ่ก็นำเสนอภาพข่าวและการทำข่าวแบบนี้ ไม่มีใครให้ทางออก ไม่มีใครบอกว่าอันนี้ถูกหรือไม่ถูก รวมทั้งไม่มีใครรู้กระทั่งว่าการขึ้นไปทำข่าวบนโรงพักผิดกฎหมาย สะพายกล้องขึ้นโรงพักไม่ได้ ซึ่งเรื่องพวกออฟฟิศก็ไม่เคยบอก มหาวิทยาลัยก็ไม่สอน และส่วนสำคัญต้นตอเกิดจากแหล่งข่าว นักการเมือง ตำรวจ ที่เรียกนักข่าวมาแถลงข่าว ซึ่งเป็นวัฏจักรที่สืบทอดกันมา ซึ่งตนเสนอว่าควรจะมีกระบวนการรับนักข่าวและช่างภาพเพราะเป็นอาชีพเฉพาะ ควรจะมีอะไรมากกว่ากรอกใบสมัคร ที่ต้องถามว่าคนที่มาสมัครและออฟฟิศรับเข้ามามีการอบรมเรื่องพวกนี้

“ตำรวจรู้ว่าแถลงข่าวไม่ได้ก็ไม่ต้องแถลง เพราะบางคดีไม่นำผู้ต้องหามาแถลงยังทำได้เลย แต่ทั้งนี้ต้นสังกัดจะถามว่าทำไมฉบับนั้นมีทำไมเราไม่มี แล้วพรุ่งนี้ใครโดนจวก ทุกออฟฟิศต้องมีข่าวและมีรูปด้วย ดังนั้นถ้าจะให้รับผิดชอบร่วมกันต้อง 50-50 ได้หรือไม่ มันเป็นปัญหาโลกแตกที่จะเค้นจากในคนสนามไม่ได้ เพราะต้องโทษคนสั่ง แต่เป็นหัวหน้าข่าวและรีไรท์เตอร์ รวมทั้งเราไม่ได้ถึงที่เกิดเหตุก่อน และยืนยันว่านักข่าวในสนามไม่ได้เขียนข่าวแบบนวนิยาย แต่เป็นแนวทางการสืบสวนของตำรวจ และนักข่าวอาชญากรรมไม่ได้นั่งเทียน แต่เป็นเรื่องที่นักข่าวสนิทที่กับแหล่งข่าว และที่เขาทำคดีก็เป็นแนวทางที่ตำรวจทำมา"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการเสวนาได้มีการเปิดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งมีการเสนอความเห็นของ บรรณาธิการข่าวหน้า1 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งระบุว่า คนข้างในออฟฟิศบางคนอาจจะเคยชินกับความรู้สึกเก่าๆ แต่ปัจจุบันอาจจะมีแนวโน้มดีขึ้น มีความตื่นตัวมากขึ้นกับเรื่องพวกนี้ แต่ปัญหาก็ยังมากขึ้นเพราะคนข้างในออฟฟิศยังคิดว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ตำรวจ การแถลงข่าวใหญ่ นักการเมือง รองนายกฯ นายกฯ ร่วมแถลงข่าวเขาทำข่าวนี้ได้ เพราะคนเหล่านั้นเขายังทำได้ทั้งที่เป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามทางออกเรื่องนี้คือ ถ้ามีองค์กรใดออกแนวปฏิบัติเรื่องนี้ออกมา อาทิ การนำเสนอผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีแนวทางให้ชัดเจน

ด้าน นางสาวเข็มพร วิรุณราพันธ์ สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน กล่าวว่า เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่นักข่าวควรรู้ แต่ประชาชนควรรู้ด้วย เพราะปัจจุบันประชาชนกลายเป็นสื่อด้วยตัวเอง โอกาสที่เขาจะละเมิดซ้ำก็เป็นไปได้ ดังนั้นทั้งสังคมควรจะเข้าใจและตรวจสอบสื่อด้วย และตัวเองเป็นสื่อด้วยจะได้ไม่ละเมิดซ้ำ และยังเป็นการปกป้องสิทธิตัวเองได้ ซึ่งสังคมต้องเรียนรู้ด้วยกันทั้งหมดในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่เราจะต้องช่วยกันคิด