สอศ.ไม่เห็นด้วยโครงสร้าง ศธ.ใหม่ มีแค่กรมอาชีวะ

สอศ.ไม่เห็นด้วยโครงสร้าง ศธ.ใหม่ มีแค่กรมอาชีวะ เตรียมชงเพิ่มเป็น 4 กรมดูแลครบถ้วนตามภารกิจ
นายชาญเวช บุญประเดิม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เสนอรูปแบบการปรับโครงสร้างบริหารราชการ ศธ.เบื้องต้นต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา หรือ ซูเปอร์บอร์ด ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยโครงสร้างใหม่มีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นระดับ 11 เพียงคนเดียวสลายองค์กรหลักแตกเป็นกรมที่มีอธิบดี ระดับ 10 เป็นผู้บังคับบัญชา ว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เห็นไม่สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ที่เสนอให้ สอศ.มีฐานะเป็นกรมอาชีวศึกษาเพียงกรมเดียว โดย สอศ.ควรจะต้องมีหน่วยงานอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ได้มีการยกร่างโครงสร้างสอศ.ไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณา
เบื้องต้น สอศ.เสนอขอแยกออกเป็น 4 กรม คือ กรมอาชีวศึกษารัฐ กรมอาชีวศึกษาเอกชน กรมมาตรฐานการจัดการศึกษา และกรมทวิภาคีและความร่วมมือ เพื่อให้การบริหารงานมีความสมบูรณ์ และสามารถทำงานได้ตรงตามเป้าหมายมากที่สุด โดยเฉพาะขณะนี้ รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้รวมอาชีวศึกษาเอกชนเข้ามาอยู่ในกำกับดูแลของสอศ.ให้ได้ภายในเดือนมกราคม พ.ศ.2559 เพื่อให้การบริหารจัดการในภาพรวมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างครั้งนี้เหมือนย้อนกลับไปสู่โครงสร้างเดิมที่มี 14 กรม หรือ 14 องค์ชาย ซึ่งในขณะนั้นก็มองว่าเทอะทะ มีปลัดศธ.คนเดียวอาจทำให้การบริหารงานไม่ครอบคลุม แต่เมื่อมีนโยบายให้ปรับมาเป็นแบบนี้สอศ.เองก็ต้องมาดู และทำตามบทบาทหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
ด้าน ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า รูปแบบโครงสร้าง ศธ.ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)
และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะแยกออกไป ซึ่งในส่วนของ สกศ.นั้นในอนาคตจะไปเกี่ยวโยงกับคณะกรรมการนโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์แห่งชาติที่เวลานี้อยู่ระหว่างการยกร่างพ.ร.บ.และเตรียมเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมีหน้าที่กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ขณะที่ สกศ. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการชุดดังกล่าวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เช่นนี้สถานะของ สกศ.จะมีการปรับเปลี่ยน โดยจะไปศึกษาใน2แนวทาง คือ แนวทางแรก เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เช่นเดิม ส่วนแนวทางที่สอง แยกตัวออกไปเป็นหน่วยงานอิสระ แต่อาจจะไม่ได้อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่ามีหลายหน่วยงานสังกัดอยู่กับสำนักนายกฯ อยู่แล้ว จึงอยากให้ไปศึกษาดูว่าจะเป็นหน่วยงานในลักษณะใด
“ส่วนตัวคิดว่าหากเป็นแนวทางที่2แล้วไม่ขึ้นตรงกับสำนักนายกฯ สถานะของ สกศ.จะมีความอิสระรูปแบบคล้ายกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากนี้จะเร่งดำเนินการโดยเร็ว”ดร.กมล กล่าว
ด้าน นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า โดย ส่วนตัวเห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น ฐาน(สพฐ.) เพราะปัจจุบันอุ้ยอ้ายและเทอะทะเกินไป เพราะฉะนั้นการแยกไปตั้งเป็นกรมปฐมวัย กรมมัธยมศึกษา กรมการศึกษาพิเศษ และกรมวิชาการ ทำให้มีความชัดเจนชัดเจนในการบริหารและพัฒนาการศึกษาที่มีความเฉพาะและทำได้ รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในภาพรวม ส่วนตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดที่จะเหลือระดับ11เพียงคนเดียวคือปลัดกระทรวงนั้น สำหรับตนไม่ใช่ปัญหา เพราะต้องการให้การขับเคลื่อนงานมีเอกภาพ การมีปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาคนเดียวก็เหมือนกับทุกกระทรวง
น.ส.อาภรณ์ แก่นวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่าการปรับโครงสร้างเป็นเรื่องระดับนโยบาย และที่ผ่านมาที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหลายคนที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็สนับสนุนให้แยก สกอ.ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ก็ยินดี หากแยกจากศธ.เพราะจะสามารถทำงานสนับสนุนมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่ ส่วนสถานะขององค์กรจะมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง แต่จะเรียกชื่อเป็น กระทรวง หรือ ทบวงคงแล้วแต่ระดับนโยบาย ซึ่ง สกอ.ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง อัตรากำลังยังเท่าเดิม ระดับผู้บริหารสูงสุดก็ซี 11 เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม สกอ.แยกออกจากศธ. ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อระหว่างอุดมศึกษากับการศึกษาระดับอื่นๆ เพราะอุดมศึกษายังคงบูรณาการงานกับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษาได้ตามเดิมเนื่องจากขณะนี้ มีเครือข่ายมหาวิทยาลัย 9 ภูมิภาค เป็นตัวประสาน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคจะลงไปช่วยสนับสนุน และพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการศึกษาทุกระดับ เด็กที่จบจากการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษามีคุณภาพ เมื่อมาต่อยอดในระดับอุดมศึกษาก็จะมีคุณภาพ และเข้มแข็ง
พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างศธ. ยังต้องพูดคุยกันอีกมาก โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของข้าราชการในศธ. ซึ่งหัวใจของการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะต้องมุ่งไปที่เด็ก ปรับแล้วต้องทำให้การขับเคลื่อนงานของศธ.เป็นไปด้วยดี ถ้าการขับเคลื่อนของศธ. ดี เร็ว ถูกต้องก็จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กดีขึ้น นั่นคือเป็นหมายและเป็นหัวใจสำคัญ







