สปท.ตั้ง'คำนูณ-กอบศักดิ์-สุวัฒน์'เป็นโฆษก

สปท.ตั้ง"คำนูณ-กอบศักดิ์-สุวัฒน์"เป็นโฆษก "ทินพันธุ์"แจงหน้าที่สปท. ต้องความเห็นของกระทรวงต่างๆต่อวาระปฏิรูป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการแจกไอแพด 4 รุ่น 64 กิ๊กกะไบท์ ไวไฟ+เซลลูลาร์ ให้กับสมาชิกสถาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยในเครื่องมีแอพพลิเคชั่นที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของสมาชิก อาทิ แอพลิเคชั่นเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และโปรแกรมติดดตามข่าวสาร เป็นต้น
ต่อมาในเวลา 09.30 น. มีการประชุมของ สปท. โดยมีวาระเพื่ออภิปรายทั่วไปเพื่อเสนอวิธีการปฏิรูปประเทศ ในเรื่องการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม โดยร.อ.ทินพันธุ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมก่อนการจะเริ่มอภิปรายว่า ในวันพรุ่งนี้ (28 ต.ค.) เป็นการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ขอให้สมาชิกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงและลงทะเบียนในเวลา 09.00 ที่หน้าห้องประชุม โดยแผนผังที่นั่งจะแสดงติดไว้ที่หน้าห้องประชุม นอกจากนี้ยังได้ประธานยังได้แจ้งถึงการแต่งตั้งโฆษก สปท. จำนวน 3 คน ประกอบไปด้วย นายคำนูณ สิทธิสมาน, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล และนายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ ให้รับตำแหน่งดังกล่าว
จากนั้นที่ประชุมได้เข้าสู่การอภิปราย โดยนายเสรี สวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษางานปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของสปช. ได้นำเสนอแนวคิดว่า การปฏิรูปเรื่องของกฎหมายนั้นจะต้องคำนึงเรื่องของความคิดเป็นของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาการพิจารณากฎหมายส่วนใหญ่จะถือความคิดเห็นจากหน่วยงานราชการเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ดีการที่จะร่างกฎหมายขึ้นมาควรจะต้องให้มีความสอดคล้องกับพันธะกรณีระหว่างประเทศด้วย
นายเสรี กล่าวอีกว่า ในส่วนของการปฏิรูปองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอาทิ ศาล ทนายความ ตำรวจ หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมเป็นต้น จะต้องมีการบริการอย่างทั่วถึง ไม่แบ่งแยกและลดความเหลื่อมล้ำในการบริการ โดยมีความคาดหวังว่าภายใน 1 ปี ประชาชนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าวในทางที่ดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นมีการเปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปราย โดยร.อ.ทินพันธ์ ได้ชี้แจงถึงการทำหน้าที่ สปท. ว่าจะต้องสานต่องานจาก สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ได้ทำไว้ โดยสปช. ได้ทำรายงานการปฏิรูปฉบับสมบูรณ์ให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งครม.ได้มีมติรับหลักการเกือบทุกเรื่อง โดยได้ส่งต่อให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการปฏิรูปว่าสามรถทำตามได้หรือไม่ และ อาจจะมีข้อแนะนำโดยส่งกลับมาให้สปท. โดยเราจะนำความเห็นดังกล่าวผลักดันให้เป็นกฎหมายบังคับใช้ผ่านห่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นครม. และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกจากจะขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เป็นกฎหมายแล้ว สปท. ยังจะต้องเรียงลำดับความสำคัญวาระที่จะปฏิรูปไปด้วย โดยเราจะต้องช่วยกันทำให้เกิดเป็นกฎหมายจนสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมาพูด เพื่อให้แม่น้ำทั้ง 5 สายทำงานได้สอดคล้องและทำงานในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมาในรัฐบาลปกติไม่สามารถก่อให้เกิดปฏิรูปได้ ขณะนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นจริง
ต่อมาเป็นการอภิปรายความเห็นด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีสมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีความเห็นที่น่าสนใจ อาทิ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน กล่าวว่าตำรวจตกเป็นเครื่องเมืองทางการเมือง เนื่องจากถูกรัฐแทรกแซงเพื่อจัดตั้งรัฐตำรวจ ซึ่งตนขอเสนอให้ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปลดองค์กรตำรวจจากการถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง เพื่อให้ตำรวจทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนข้อเสนอที่ให้ระบบงานสอบสวนและนิติวิทยาศาสตร์ ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนเห็นว่าน่าเป็นห่วง เพราะว่างานสืบสวนและสอบสวนถือเป็นเหรียญเดียวกัน แม้จะอยู่คนละด้านแต่ก็ต้องทำงานร่วมกัน
ด้านพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อภิปรายว่า ตนอยากจะเสนอให้มีการตั้งกระทรวงความมั่นคง รวมถึงการมีระบบฐานข้อมูลกลาง เพื่อแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อยาวนาน นอกจากนี้ยังจะต้องมีการพัฒนาระบบงานนิติวิทยาศาสตร์ทั้งระบบด้วย
จากนั้นเป็นการอภิปรายเสนอความเห็นการปฏิรูปในเรื่อง ด้านการปกครองท้องถิ่น โดยที่ประชุมได้เชิญนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตประธานกรรมาธิการปฏิรูปท้องถิ่น สปช. เพื่อชี้แจงข้อสรุปของประเด็นการปฏิรูปเรื่องดังกล่าว โดยนายพงศ์โพยมกล่าวว่า ปัญหาของการบริหารท้องถิ่น คือยังไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และที่ผ่านมาสส่วนท้องถิ่นก็ยังไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ ซึ่งเราควรจะให้ความอำนาจและความสำคัญมากกว่านี้ ในส่วนของที่มาของนักการเมืองท้องถิ่นนั้นจะต้องดูว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกมาจะมีหน้าตาเช่นไร ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องนักการเมืองระดับชาติได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของนักการเมืองท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะบทลงโทษผู้ที่ทุจริตจะต้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
นายพงศ์โพยม กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสปท. ช่วยกันออกแบบองค์กรให้เหมาะสมอีกทั้งทำให้การเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็วมากขึ้น ก็จะทำให้การทุจริตทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นจะทำได้ยากขึ้น นอกจากนี้หาก สปท. ได้ข้อสรุปในการปฏิรูปท้องถิ่นแล้ว อยากให้ส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิรูปเป็นวาระที่นำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ สปท. เองจะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ ครม. และกระทรวงรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการปฏิรูปจะได้สำเร็จลุล่วง
ต่อมาภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายแล้ว น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท. คนที่ 2 ได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 14.25 น.







