ชิงตัดไฟก่อน 'นักศึกษา' จุดไฟติด?

ชิงตัดไฟก่อน 'นักศึกษา' จุดไฟติด?

(รายงาน) สถานการณ์ร้อน! คสช. ชิงตัดไฟ ก่อน "นักศึกษา" จุดไฟติด?

"เรื่องนักศึกษา ให้เกียรติให้เครดิตมาตลอด ให้โอกาสก็แล้ว เรียกมาพบก็แล้ว คุยกันก็แล้ว เรียกมาคุยก็หาว่าปิดกั้น ไม่คุยแล้วจะรู้เรื่องไหมล่ะ แต่คุยไปแล้วก็ไม่รู้เรื่อง แสดงว่าต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องไปหามา คสช.กำลังดูอยู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงอาการเหนื่อยหน่ายเมื่อช่วงสายของวันศุกร์ที่ผ่านมา

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ปฏิบัติการจับกุม 14 นักศึกษาและนักกิจกรรมก็มีขึ้น โดยในช่วงบ่ายได้มีการไปขอหมายจับทั้ง 14 คนจากศาลทหาร ในข้อหาขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 คือ ร่วมกันก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

และในช่วงเย็นตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบก็บุกรวบตัวทั้ง 14 คนซึ่งรวมตัวกันอยู่ที่สวนเงินมีมา ย่านเจริญนคร โดยที่กลุ่มนักศึกษาไม่ได้ขัดขืน ก่อนจะถูกส่งตัวไปที่ สน.พระราชวัง จากนั้นส่งไปขึ้นศาลทหาร และในคืนเดียวกันศาลมีคำสั่งให้ฝากขังทั้ง 14 เป็นเวลา 12 วัน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

เรียกว่าเป็นปฏิบัติการแบบม้วนเดียวจบ!

ความจริงเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาไม่ใช่เรื่องใหม่ นักศึกษากลุ่มนี้เริ่มเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ คสช.เข้ามายึดอำนาจแล้ว โดยมีการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ ที่โดดเด่นคือเมื่อครั้งที่ 5 นักศึกษา “กลุ่มดาวดิน” ใส่เสื้อยืด “ไม่เอารัฐประหาร” ชู 3 นิ้ว ต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างลงพื้นที่ที่ขอนแก่น

ครั้งนั้นในส่วนนักศึกษาไม่โดนอะไรมาก แค่โดนจับไปปรับทัศนคติก่อนปล่อยตัวมา คนที่เจอหนักคือตำรวจในพื้นที่ที่โดนสั่งย้ายไป 5 นาย

หลังจากนั้นกลุ่มนักศึกษาก็ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะๆ ทั้งนักศึกษากลุ่มดาวดินที่ขอนแก่น และกลุ่มนักศึกษาในกรุงเทพฯ ที่จะมีการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกัน

หากสังเกตดู ก่อนจะมาถึงจุดที่ คสช.ตัดสินใจให้มีการบุกรวบกลุ่มนักศึกษา จะพบว่าเจ้าหน้าที่มีมาตรการที่ค่อยๆแรงขึ้นกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา

จากในระยะต้นๆที่มีการเชิญตัวไปปรับทัศนคติแล้วปล่อยตัวไปโดยไม่ตั้งข้อหา ช่วงหลังเริ่มมีการตั้งข้อหา และจุดเปลี่ยนที่เห็นชัดเจนคือในการชุมนุมต่อต้าน คสช. ช่วงครบรอบ 1 ปี โดยวันนั้นที่ขอนแก่นมีการตั้งข้อหาขัดคำสั่ง คสช.กับ 7 นักศึกษากลุ่มดาวดินที่ออกมาเคลื่อนไหว ก่อนจะให้ประกันตัวไป ส่วนที่ กทม.ก็มีการรวบตัวนักศึกษาและผู้มาร่วมกิจกรรมต่อต้าน คสช.ที่หน้าหอศิลป์ไปถึง 33 คน แม้จะมีการปล่อยตัว แต่ภายหลังตำรวจก็ออกหมายเรียก 9 ราย ซึ่งมีทั้งนักศึกษาและอดีตนักศึกษา และเมื่อ 8 รายแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะไม่เข้าพบเจ้าหน้าที่ จึงได้มีการออกหมายจับ

มีการวิเคราะห์ว่า ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการกับกลุ่มนักศึกษาและนักกิจกรรมดังกล่าว ก็น่าจะมีการประเมินกำลังของกลุ่มคัดค้านไปด้วย ตั้งแต่การรวมตัวของกลุ่มต่อต้าน คสช. สองครั้งที่ สน.ปทุมวัน ภายหลังการรวบตัวผู้ทำกิจกรรมที่หอศิลป์สองรอบ จนถึงล่าสุดคือการทำกิจกรรมของกลุ่ม 14 นักศึกษาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อเย็นวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา

“ยังจุดไม่ติด” คือบทสรุปที่น่าจะตรงกันของทั้งฝ่ายคัดค้าน คสช. และฝ่าย คสช.

ในเมื่อยังจุดไม่ติด จึงมีคำถามว่าทำไม คสช.เลือกที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มนักศึกษา?

สุภาษิตที่ว่า “เชือดไก่ให้ลิงดู” น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน เพราะชัดเจนว่ากลุ่มนักศึกษามีปฏิบัติการที่ท้าทายมากขึ้น รวมทั้งการหาแนวร่วมทั้งจากองค์กรต่างประเทศ และการรณรงค์เคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียอย่างคึกคัก หาก คสช.ปล่อยไปย่อมไม่เป็นผลดีแน่ โดยเฉพาะในห้วงที่สถานการณ์การเมืองเริ่มมีความคุกรุ่นขึ้นมา ทั้งจากเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ และควันหลงจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ส่งผลให้โรดแมพไปสู่การเลือกตั้งเนิ่นช้าออกไป

ปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” จึงเริ่มขึ้น

“ไม่สบายใจที่มีกลุ่มนักศึกษาออกมาแสดงออกเช่นนั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการรวมตัวขึ้นจากกลุ่มเล็กๆ ขยายผลไปสู่กลุ่มใหญ่ แล้วกลายเป็นปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามประชาชนส่วนใหญ่คงไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ถ้าเกิดความไม่สงบความปั่นป่วนในประเทศเหมือนนอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะปิดถนน พ่นสีสเปรย์ต่างๆ อาจเกิดการกระทบกระทั่งจากประชาชนที่ไม่พอใจ แล้วสถานการณ์กลับไปสู่การใช้อาวุธสงคราม และการวางระเบิดขึ้นมาอีก” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ช่วงเช้าวันศุกร์

นอกจาก ผบ.ทบ.ที่พูดทำนองห่วงว่าอาจเกิดการกระทบกระทั่งจากประชาชนที่ไม่พอใจ ในการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงสาย ก็แสดงพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

“ถ้าเดินกันไปเรื่อยๆ แล้วมีคนมาทำร้ายจะทำอย่างไร เพราะทุกคนเขาเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองวันนี้และอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มุมหนึ่ง คสช. อาจจะเป็นห่วงว่าจะมีการกระทบกระทั่งของคนในสังคมจริงๆ ซึ่งปัจจุบันสังเกตได้ง่ายจากปฏิกิริยาในโซเชียลมีเดีย แม้จะมีคนตั้งคำถามว่าปฏิกิริยา “จัดตั้ง” ที่รวมอยู่ด้วยก็ตาม อีกมุม คสช.ก็คงประเมินว่ากระแสสังคมวันนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวคัดค้าน คสช.จึงกล้าเล่นแรงแบบม้วนเดียวจบกับกลุ่มนักศึกษา

สำหรับข้อหาว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษานั้น ก่อนที่พวกเขาจะถูกรวบตัว พวกเขาได้แถลงยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง พร้อมแจกแจงถึงวิถีชีวิตระหว่างการทำกิจกรรมของพวกเขา

“เหลืองก็บอกว่าเราเป็นแดง แดงก็บอกว่าเราเป็นเหลือง เราไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองกลุ่มไหน เราแค่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการริดรอนสิทธิประชาชน” นักศึกษาสมาชิกกลุ่มดาวดินเคยให้สัมภาษณ์ไว้

อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายประเมินตรงกันว่า “กลุ่มนักศึกษา” คือกลุ่มที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับ คสช. เพราะถึงที่สุดสังคมก็มองว่าพวกเขาคือ “พลังบริสุทธิ์” ที่ คสช.จะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้ ส่วนกลุ่มการเมืองอื่นๆ พูดง่ายๆไม่ว่าจะเป็น “พรรคเพื่อไทย” หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ตอนนี้ คสช.มั่นใจว่าสามารถคุมได้อยู่หมัด ซึ่งลึกๆกลุ่มนี้ก็ยังไม่ต้องการออกมาเคลื่อนไหวอะไรให้เปลืองตัว ยังวางยุทธศาสตร์อยู่ที่การ “รอเวลา” เท่านั้น

จุดสำคัญจึงอยู่ที่การ “จัดการ” กับกลุ่มนักศึกษาของ คสช. ไม่เช่นนั้นแทนที่จะเป็นการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” อาจจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ก็ได้!