'พงศพัศ'ชี้ 4 ตำรวจอยุธยาค้ายามอบตัวเร็วนี้

'พงศพัศ'ชี้ 4 ตำรวจอยุธยาค้ายามอบตัวเร็วนี้

"พล.ต.อ.พงศพัศ"ชี้ 4 ตำรวจอยุธยาค้ายามอบตัวเร็วๆนี้ ด้านภรรยาเชื่อโดนใส่ร้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีการปรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภายหลังเกิดกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมขบวนการยักยอกยาเสพติดของกลางเพื่อนำไปจำหน่ายว่า มาตรการปรับการทำงานนี้เป็นนโยบายของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ที่ต้องการให้มีการปรับกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติดในชุมชนต่างๆ ซึ่งประชาชนคาดหวังว่าการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชนจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการอย่างเข้มงวด และทุกคนก็ไม่อยากให้ตำรวจที่ทำหน้าที่ด้านนี้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเอง โดยเฉพาะเรื่องของการยักยอกยาเสพติดเพื่อจำหน่ายเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมานาน

พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดกับตำรวจ จ.พระนครศรีอยุธยา ก็เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้แก่ภาพรวมในการทำงานด้านการยาเสพติดของตำรวจมากมาย ดังนั้น ผบ.ตร.จึงได้มีนโยบายที่จะให้ดำเนินการกับลักษณะการทำงานของชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละสถานีก็จะมีชุดทำงานลักษณะนี้ประมาณ 3 ชุดด้วยกัน จะมีการตรวจสอบพฤติการณ์แบ่งเป็นส่วนๆไป ส่วนแรกเป็นส่วนที่ทำงานดีเป็นที่ยอมรับ ทำงานมาเป็นเวลานานเป็นมืออาชีพ ผลการทำงานไม่มีประวัติด่างพร้อย สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสนับสนุนให้ทำงานอย่างต่อเนื่องไป เพราะว่าส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับพื้นที่และมีเบาะแสมากมาย สำหรับในส่วนที่สองนั้น ก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่มานาน รู้จักกับสาย คุ้นเคยกับสายนอกจากจะใช้สายเพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิด ผู้จำหน่าย หรือผู้เสพแล้ว บางครั้งก็ใช้สายเหล่านี้ในการที่จะเอายาเสพติดที่ตนเองยักยอกไว้ไปจำหน่าย ซึ่งลักษณะนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ทาง ผบ.ตร.เองก็จะได้ปรับบุคคลในกลุ่มนี้ที่มีพฤติการณ์นี้ไปทำหน้าที่อื่น ซึ่งจะมีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าข้าราชการตำรวจกลุ่มนี้เป็นใคร สำหรับกลุ่มที่สามนั้นจะต้องถูกปรับย้ายทันที คือ กลุ่มที่ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ทำงานด้านยาเสพติดร่วมกัน มีความรู้สึกว่าข้าราชการกลุ่มนี้ ชุดปราบปรามยาเสพติดชุดนี้ที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับสายเพื่อที่จะค้ายาเสพติด หรือไปกระทำความผิดเสียเอง อันนี้จะต้องปรับย้ายโดยทันที ผบ.ตร.จะไม่ได้เน้นพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าวอีกว่า สำหรับตำรวจภูธรภาค 1 ได้มอบนโยบายให้ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ไปแล้วเพื่อดูแลปัญหาทั้ง 9 จังหวัดในพื้นที่ เพราะว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลเป็นเขตพักยา แล้วก็จะมีการระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในบางพื้นที่ บางกองบังคับการก็จะดำเนินการทันที สำหรับในพื้นที่อื่นๆ ผบ.ตร.จะออกมาตรการในลักษณะเดียวกัน เพื่อเป็นการป้องกัน ระงับยับยั้งไม่ให้มีข้าราชการตำรวจที่ทำงานด้านยาเสพติดนั้น ไปเป็นผู้กระทำความผิดซะเอง และหากประชาชนที่แจ้งข้อมูลข่าวสารมา ส่วนใหญ่ถ้าพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไปกระทำความผิดซะเองเราดำเนินการทางคดีอาญา และดำเนินการทางปกครองโดยทันที เพราะถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทางรัฐบาลเองก็ไม่ต้องการให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด เพราะฉะนั้นตำรวจที่ทำงานด้านนี้จะต้องเป็นมืออาชีพ ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่เข้าไปข้องแว้งกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นผู้กระทำความผิดซะเอง

"ทั่วประเทศมีโรงพักมีประมาณ 1,467 แห่ง แต่ละแห่งก็จะมีชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติดประมาณ 3 ชุด ที่โรงพักใหญ่หรือเป็นพื้นที่การแพร่ระบาดของยาเสพติดเยอะ ก็อาจจะมีมากกว่านี้ และจะมีชุดทำงานของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ชุดของสืบสวนสอบสวนค่อนข้างเยอะ แต่ว่าก็จะมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่ทำงานมานานและเพื่อนร่วมงานมีความรู้สึกว่าจะมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเราก็จะปรับย้ายและจะมีการปรับเปลี่ยนการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา"พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าว

พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าวด้วยว่า ส่วนการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 4 นาย ที่มีความผิดนั้น พบว่ามีผลงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดค่อนข้างดี มีผลงานการจับกุมต่อเนื่อง แต่ว่าทนความเย้ายวนใจไม่ไหว เมื่อเห็นยาเสพติด เป็นจำนวนมากก็ตัดสินใจยักมาเป็นของส่วนตัว และนำไปขายให้กับสายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ซึ่งการเอายาเสพติดที่ตนเองจับกุมได้ แทนที่จะเขียนบันทึกจับกุมส่งไปดำเนินคดีกับผู้ต้องหา และนำยาเสพติดของกลางไปทำลาย กลับเอายาเสพติดไว้กับตนเองและนำไปขายต่อ ถือเป็นพฤติการณ์ที่ทนความเย้ายวนใจไม่ไหว ต่อจำนวนเงินที่ได้ ก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นบางส่วน เพราะตำรวจส่านใหญ่ที่ทำงานก็ทุ่มเท เสี่ยงอันตราย ทุกคนก็เป็นกำลังใจให้กับตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่มีผลงานดีเยี่ยม ทางสำนักงานตำรวจก็จะออกมาตรการปิดช่องว่าง จะมีการฝึกอบรม มีการทบทวนให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นในการทำงานด้านนี้

พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าวว่า ทั้งนี้เท่าที่ตรวจสอบทางผู้ต้องหาบอกว่าทำผิดครั้งแรก และจำนวนยาที่ยักยอกไว้ก็ประมาณ 80,000 เม็ด ค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานด้านนี้ ว่า สิ่งที่เห็นเป็นตัวอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เจ้าตัวก็ถูกดำเนินคดีได้รับโทษเป็น 3 เท่า ตามกฎหมาย ทั้งทางปกครองให้ออกจากราชการไว้ก่อน มีปัญหาตามมาอีกเยอะ รวมถึงส่งผลต่อครอบครัวด้วย ดังนั้นตำรวจที่ทำงานด้านนี้ต้องมีความระมัดระวัง ต้องไม่ใจอ่อนหลงไปกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำงานตรงไปตรงมา และจะมีผู้บังคับบัญชาคอยตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องของที่พระนครศรีอยุธยา ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นที่ปกครองดูแลก็ต้องถูกดำเนินการตามปกครองด้วย ก็จะต้องดูว่าปล่อยปละละเลยหรือไม่ ถ้าปล่อยปละละเลยก็จะถูกย้าย ก็ได้เรียนผบ.ตร.ไปแล้ว ถ้าหากไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็ดำเนินคดีทางอาญาด้วย

"ได้มีการพูดคุยกับภรรยาของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 4 นายแล้ว ก็มีการพยายามติดต่อขอมอบตัว เรื่องของหลักทรัพย์ได้ให้พนักงานสอบสวนไปพูดคุยทำความเข้าใจกับภรรยาของทั้ง 4 คนแล้ว ว่ากระบวนการต่างๆเป็นยังไง อีกทั้งภรรยาทั้ง 4 เท่าที่พูดคุยด้วยก็บอกว่าไม่ทราบว่าพฤติการณ์ของสามีเป็นอย่างไร และเกรงว่าสามีนั้นจะถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย ซึ่งตนได้พูดคุยกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อธิบายให้ฟังว่าการดำเนินการในการที่จะให้ศาลออกหมายจับก็ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ กระบวนการยุติธรรมตำรวจก็ทำไป การที่ศาลออกหมายจับและตัวผู้กระทำความผิดหลบหนีไป เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เป็นตำรวจทำงานด้านนี้ถูกออกหมายจับก็ต้องรีบเข้ามามอบตัวเพื่อต่อสู้คดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ก็มาพิสูจน์ความผิด ซึ่งทางครอบครัวก็เข้าใจ เชื่อว่าข้าราชการตำรวจหากได้ยินได้ฟังคงจะเข้ามอบตัวในเร็วๆนี้ เพราะว่าถ้าไม่มอบตัวเราก็มีชุดติดตามจับกุมล่าล่าอยู่แล้วก็จะต้องดำเนินการเหมือนกับผู้กระทำความผิดคนอื่น" พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าว

พล.ต.อ. พงศพัศ กล่าวอีกว่า ส่วนมาตรการที่ระบุว่าจะมีการปรับย้ายจะเอาเกณฑ์อะไรไปพิจารณาเนื่องจากการจับยาเสพติด ต้องใช้ประสบการณ์และต้องใช้สายในการจับกุม นั้น ทางผบ.ตร.เน้นที่พฤติการณ์ ซึ่งได้มาจากประชาชนในชุมชนได้จากเบาะแส จากผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ก็ยืนยันว่าการพิจารณาปรับย้ายผู้ที่ทำงานด้านยาเสพติด มีพฤติการณ์ที่ชัดเจนว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือว่าน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการทำงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ทั้งนี้ไม่ถึงขั้นเป็นการยกเครื่องตำรวจปราบปรามยาเสพติดทั้งหมด เป็นบางส่วนเป็นบางพื้นที่ ที่มีพฤติการณ์ค่อนข้างจะชัดเจน ทั้งนี้ จากการสืบสวนว่ามีผู้กระทำความผิดคนอื่นอีกหรือไม่นอกเหนือจากตำรวจทั้ง 4 นาย พบว่า ขณะนี้ไม่มี เพราะว่าชุดอยุธยามี 3 ชุด ทำงานด้วยกันมาตลอด บังเอิญเข้าไปวันนั้นเห็นยาค่อนข้างเยอะ จับได้ประมาณ 100,000 แล้วยักยอกไป ขณะนี้กำลังตรวจสอบย้อนกลับไปว่าตำรวจชุดนี้มีผลการจับกุมใครบ้าง ผู้ต้องหาเป็นใครมีการยักยอกยาไปหรือไม่ ขณะนี้กำลังตรวจสอบเพิ่มเติม