'วิกฤติมนุษยธรรม' ชะตากรรมชาวโรฮิงญา

(รายงาน) "วิกฤติมนุษยธรรม" ชะตากรรมชาวโรฮิงญา
หนังสือพิมพ์เดลีสตาร์ของมาเลเซีย รายงานชะตากรรมของ นายซาฟาร์ อาห์หมัด บิน อับดุล กานี ชาวโรฮิงญาที่หนีมาตั้งแต่ทหารพม่ายึดอำนาจเมื่อปลายปี 2531
หลังจากหลบซ่อนในรัฐยะไข่มาหลายเดือน ซาฟาร์กับคนอื่นๆ ก็หนีไปบังกลาเทศ แล้วหนีต่อไปอินเดีย แต่ความเป็นอยู่ไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปมาเลเซีย ด้วยเรือแม้ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้นายหน้า
หลังจากรอนแรมมา 2 สัปดาห์ ซาฟาร์ก็มาถึงชายฝั่งของไทยและถูกจับ จากนั้นจึงถูกส่งไปยังศูนย์คุมตัว
“เมื่อเราอธิบายเรื่องนี้กับตำรวจไทยถึงการถูกรังควานในพม่า พวกเขาปล่อยตัวเราแต่ส่งต่อให้นายหน้ารายอื่น”
ก่อนข้ามเข้าไปยังมาเลเซีย นายซาฟาร์ต้องจ่ายเงินให้นายหน้า 300 ดอลลาร์ โดยเขารวบรวมเงินจากญาติๆ ที่อยู่ในไทย
ซาฟาร์เป็นหนึ่งในชาวโรฮิงญาหลายพันคนที่หนีไปยังบังกลาเทศ อินเดีย ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย และจีน เพื่อหลบหนีการถูกรังควานในพม่า แม้บางคนสามารถหาหนังสือเดินทางของประเทศอื่น อย่างบังกลาเทศ เพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3 อย่างซาอุดีอาระเบีย แต่ส่วนใหญ่เลือกเดินทางทางทะเล
แนวโน้มนี้เริ่มต้นเมื่อทศวรรษ 90 ในช่วงที่รัฐบาลทหารพม่าออกกฎเกณฑ์กีดกันชาวโรฮิงญา ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.1 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐยะไข่
สำนักงานผู้อพยพแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่า ชาวโรฮิงญาไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นคนพม่าหลังจากพม่าได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2491 ขณะที่กฎหมายความเป็นพลเมืองปี 2525 ก็ไม่ให้สิทธิความเป็นพลเมืองแก่ชาวโรฮิงญา
ชาวโรฮิงญาถูกบังคับใช้แรงงาน ขู่กรรโชก จำกัดการเดินทาง ไม่ได้รับสิทธิพลเมือง กฎระเบียบแต่งงานไม่เท่าเทียม และถูกยึดที่ดิน
การถูกกดขี่จากรัฐบาลทหารพม่า ทำให้ชาวโรฮิงญาหนีไปบังกลาเทศ ระลอกแรกเมื่อปี 2521 จากนั้นก็ปี 2534-35 ประมาณ 500,000 คน ปัจจุบันมีผู้อพยพประมาณ 32,000 คนอยู่ในค่ายของยูเอ็นเอชซีอาร์ที่บังกลาเทศ ส่วนอีกประมาณ 500,000 คนอาศัยอยู่นอกค่ายผู้อพยพ
ขณะที่แก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติก็เข้ามาฉวยโอกาส ยูเอ็นเอชซีอาร์รายงานว่า ตั้งแต่เดือนมิ.ย.2555-มิ.ย.2557 มีคน 87,000 คนเดินทางทางทะเลออกจากบังกลาเทศและชายแดนพม่า
เมื่อมาถึงไทย ชาวโรฮิงญาแต่ละคนจะถูกเรียกค่าไถ่ 1,500-2,000 ดอลลาร์ ก่อนผลักดันเข้าไปในมาเลเซีย นายแมทธิว สมิธ ผู้อำนวยการกลุ่มฟอร์ติฟาย ไรต์ในไทย เผยว่า แก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติจะทุบตีและทรมานคนเหล่านี้ในค่ายตามป่า เพื่อรีดเงินค่าไถ่จากครอบครัวและเพื่อนฝูง
ยูเอ็นเอชซีอาร์รายงานว่า มีคนกว่า 200 รายเสียชีวิตระหว่างเดินทางรอนแรมจากต้นทางที่บังกลาเทศหรือชายแดนพม่า เมื่อปี 2557 แม้ในกรณีที่คนเหล่านี้สามารถเดินทางต่อไปยังมาเลเซียได้ ชาวโรฮิงญา ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็ก ก็ถูกเก็บตัวไว้ในบ้านที่ปีนังและรัฐทางเหนืออีกหลายรัฐของมาเลเซีย จนกว่าจะมีการจ่ายเงินค่าไถ่ หากไม่มีการนำเงินมาจ่าย คนนั้นจะถูกขายต่อหรือถูกฆ่า
ในกรณีของนายซาฟาร์นั้น หลังจากไปถึงมาเลเซียเมื่อปี 2535 ตำรวจจับกุมเขาและชาวโรฮิงญาคนอื่นๆ ไปขังคุก ก่อนได้รับอิสรภาพในอีก 4 เดือนต่อมา และถูกส่งต่อไปให้นายหน้าแถบรัฐกลันตัน เพื่อเรียกเงินอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็ดั้นด้นไปได้ถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์และลงทะเบียนกับยูเอ็นเอชซีอาร์หลังจากพยายามมาหลายเดือน แต่แทบไม่ก่อประโยชน์ใดๆ เพราะมาเลเซียไม่มีค่ายผู้อพยพหรือให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ
ความที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารทำงานอย่างถูกกฎหมาย ทำให้ชีวิตในมาเลเซียยากลำบาก นายซาฟาร์ถูกตำรวจจับและเข้าคุกหลายครั้ง
“บางครั้งผมก็ทำงานก่อสร้าง แต่ได้ค่าแรงต่ำ ผมมีภรรยาและลูก 3 คน ผมเป็นคนไร้รัฐ ชีวิตไม่ได้รับการคุ้มครอง ผมเศร้าใจมาก”
ศ.ราเช ดุซซมาน จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธากา กล่าวว่า คนบอกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันของพม่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่มีสัญญาณว่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับโรฮิงญาในอนาคตอันใกล้ แม้แต่นางออง ซาน ซูจี แกนนำฝ่ายค้าน ก็เงียบในเรื่องนี้
หมายความว่าวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่โลกเห็นในปัจจุบันในประเด็นโรฮิงญาอาจดำเนินต่อไป!




