ร้องกองปราบฯเหตุอ้างเบื้องสูงเรียกรับเงินช่วยคดี

"บรรเทิง" วัย73 บุกร้อง"กองปราบ" เหตุหนุ่มอ้างเบื้องสูงเรียกรับเงิน แลกลูกชายไม่ถูกดำเนินคดียาเสพติด
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รรท.ผกก.ปพ.บก.ป. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.5 บก.ป.พร้อมคณะ แถลงข่าวกรณีที่ นายบรรเทิง เนมีแสน อายุ 73 ปี เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้ตำรวจ บก.ป.ดำเนินคดีกับ นายเอกชัย หรือเอฟ พลอยหิน ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง , ฉ้อโกง และเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นการตอบแทนหรือจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 , 341 และ 143
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า ทางนายบรรเทิง ได้เข้าพบเพื่อขอให้ตำรวจได้ช่วยดูแลในเรื่องคดี สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม 2551 นายไพฑูรย์ เนมีแสน บุตรชายของนายบรรเทิง ได้ถูกนายเอกชัย หลอกลวง ว่าสามารถวิ่งเต้นช่วยเหลือนายไพฑูรย์ ให้พ้นจากการถูกตำรวจ สภ.บางแพ จ.ราชบุรี จับกุมดำเนินคดียาเสพติด โดยแอบอ้างเบื้องสูง ก่อนจะเรียกรับเงินเป็นค่าดำเนินการจากนายบรรเทิง จำนวน 1.3 ล้านบาท ซึ่งทางนายบรรเทิง และลูกชายหลงเชื่อ จึงนำเงินที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตนำไปส่งมอบให้นายเอกชัย ที่โรงแรมโกลเด้นท์ซิตี้ จ.ราชบุรี
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี ภายหลังมีการรับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว นายเอกชัย ก็ไม่สามารถช่วยเหลือให้นายไพฑูรย์ รอดพ้นการถูกดำเนินคดียาเสพติดตามที่กล่าวอ้าง แต่ทางผู้เสียหายก็ไม่กล้าแจ้งความเอาผิด เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจและบารมีของนายเอกชัย ต่อมาเมื่อทราบข่าวว่าครอบครัวตระกูลสุวะดี ถูกตำรวจจับกุมจากการกระทำความผิดในหลายคดี จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความในครั้งนี้
นายบรรเทิง กล่าวว่า มีทหารที่ราชบุรีคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักนายเอกชัย โดยบอกว่าสามารถช่วยเหลือให้ลูกชายออกจากคุกได้ โดยให้หาเงินมา 1.3 ล้าน จึงไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมา เมื่อได้เงินมาก็นำไปให้นายเอกชัย โดยนัดมอบเงินกันที่โรงแรมโกลเด้นท์ซิตี้ เมื่อไปถึงที่โรงแรมตนนั่งอยู่ในรถ โดยมีนายเอกชัยรออยู่ในโรงแรม จากนั้นก็ให้ลูกสาวนำเงินเข้าไปให้นายเอกชัยในโรงแรม โดยที่ตนไม่รู้เรื่องว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ที่ไม่เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในตอนนั้นเนื่องจากไม่กล้าและเกรงกลัวอิทธิพล อีกทั้งไม่มีหลักฐานอะไรจะไปเรียกร้องเงินคืน ตนเดือดร้อนจริงๆ จนครั้งนี้ต้องเข้ามาขอความช่วยเหลือจากกองปราบ
รรท.ผบก.ป.กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องได้มอบหมายให้ชุดสืบสวน กก.5 บก.ป.เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะขออนุมัติศาลออกหมายจับนายเอกชัย และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป




