220สนช.กุมชะตากรรม'ยิ่งลักษณ์'

220สนช.กุมชะตากรรม'ยิ่งลักษณ์'

220สนช.กุมชะตากรรม"ยิ่งลักษณ์" คะแนนถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องได้เสียง3ใน5ของสนช.

23 ม.ค. 58 จะเป็น "วันชี้เป็นชี้ตาย" อนาคตทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะโหวตถอดถอนหรือไม่ถอดถอน ในข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งชะตากรรมทางการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะตกอยู่ในมือของ สนช. 220 คน

ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า คะแนนที่จะถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องได้เสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด นั่นก็หมายความว่า ต้องได้เสียง 132 เสียงจึงจะถอดถอนได้ ซึ่งที่ผ่านมาหลายคดีไม่เคยถอดถอนนักการเมืองใครได้เลย ไม่ว่า จะเป็นกรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกฯ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายภักดี โพธิศิริ อดีตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

แต่ในยามที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะปกติเท่าไรนักเช่นในขณะนี้ที่ถูกปกครองด้วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ที่สำคัญสนช.ส่วนใหญ่มาจากสายทหาร จึงถูกมองว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการได้

เมื่อตรวจสอบลงไปในสนช.ทั้ง 220 ก็พบว่าเกือบครึ่งมาจากทหาร 109 คน (49.5%) ตำรวจ 9 คน (4.1%) อาจารย์-อธิการบดี 15 คน (6.8%) อดีตส.ว.-องค์กรอิสระ 43 คน (19.5%) ข้าราชการ 32 คน (14.5%) เครือข่ายนักธุรกิจ 12 คน (5.5%) )

และเมื่อโฟกัสลงไปในกลุ่มสนช.สายทหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ก็พบว่า เกินครึ่งล้วนมาจากสาย ”บิ๊กตู่” และ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกฯ อาทิ พลโท ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.ร.อ.ศิษฐวัช วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช. พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. พล.ต.ณัฐ อินทรเจริญ ผบ.พล.9 พลเอก คณิต สาพิทักษ์ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.พล.1 พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ เป็นหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้น

หาก ”บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณ ”ถอดถอน” ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่สนช.จะทำได้ เพราะแค่สายทหารได้เสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งไปรวมกับกลุ่ม 40 ส.ว.บวกกับกลุ่มอื่นๆ เสียงถอดถอนก็เหลือเฟือจะจัดการกับ ”น้องสาว” พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้ แม้ที่ผ่านมา ”บิ๊กตู่” ไม่ชัดเจน แต่การให้สัมภาษณ์หลายครั้งทำนองว่า ผิดก็ว่าไปตามผิด ใครทำผิดก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม

บวกกับเสียงของ"พี่ใหญ่" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ออกมาสำทับว่า ไม่มีการชี้นำอะไร ต้องว่าไปตามกระบวนการและสนช.ต้องไปว่ากันเอง เพราะเป็นเรื่องของสภา ส่วนผลการพิจารณาของสนช.ก็เป็นเรื่องของสนช. อย่าไปก้าวก่ายกัน เพราะมีการตั้งสนช.มาเพื่อดูแลเรื่องกฎหมาย อย่าเอาการเมืองมาเกี่ยวกับกฎหมาย

ว่ากันว่า การส่งสัญญาณเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการให้ประเด็นการถอดถอนกระทบต่อโรดแมปคสช.และการปรองดอง จึงส่งซิกไปยังสนช.โหวต แบบฟรีโหวต ซึ่งก็จะทำให้เสียงถอดถอนที่จะต้องใช้อย่างน้อย 132 เสียง น่าจะไม่ถึง แต่สัญญาณที่ถูกส่งออกไปกลับถูกตีกลับ

ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา "ยิ่งลักษณ์" ชิ่งไม่มาตอบข้อซักถามของคณะกรรมการซักถามของสนช. อีกทั้งทีมทนายยังให้สัมภาษณ์เหมือนไม่ให้เกียรติ สนช. จึงเข้าทางปืน ส่งผลทำให้สนช.หลายคนเริ่มเปลี่ยนใจ กลับลำ โดยเฉพาะสนช.สายทหารบางกลุ่ม เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ประกอบกับเห็นว่า การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงดาบอีก 2 ดาบในคดีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมส่งผลกระทบต่อคดีถอดถอนยิ่งลักษณ์โดยตรง

ดาบแรก คือ แถลงมติในคดีระบายข้าวแบบจีทูจี ว่ามีการทุจริต และลงมติส่งเรื่องให้ดำเนินคดีกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวกอีก 18 คน และอีก 2 บริษัทเอกชน และ ดาบสอง คือ การแถลงว่าที่คณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดกับ ป.ป.ช.ได้ข้อสรุปร่วมกันแล้วว่าจะส่งฟ้องยิ่งลักษณ์ ในคดีอาญาเพราะเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการนี้ ตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูลไปก่อนหน้านี้

การถอดถอนครั้งนี้เสียงที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดหนีไม่พ้น”เสียงจากกองทัพ” แต่ในจำนวนเสียงของกองทัพใช่ว่า จะเป็นไปตามระเบียบพัก เพราะ สนช.ซีกทหารอีกหลายคน ก็ยังไม่ได้มีใจเต็มร้อยในการจะยกมือโหวต เนื่องจากยังคงรับราชการ มีอนาคตไกล สามารถก้าวขึ้นในตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมไปถึงกลุ่มข้าราชการประจำด้วย ซึ่งไม่มีใครรับประกันว่า อนาคตหากเครือข่ายขั้วอำนาจเก่า กลับหวนคืนอำนาจอีกครั้ง ตนเองจะไม่ถูก”เอาคืน”

นอกจากนี้สนช.ที่มาจากสายธุรกิจ โดยเฉพาะนายทุนพรรคการเมือง คงต้องคิดให้รอบคอบ การที่จะเอากลุ่มบริษัทของตัวเองเข้ามา”สุ่มเสี่ยง” หรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า สายป่านของขั้วอำนาจเก่าไม่ใช่มีแค่ ”ยิ่งลักษณ์” เท่านั้น นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญในการตัดสินใจ

จากสุ้มเสียงที่ออกมา ยังไม่มีใครฟันธงได้ว่า “ยิ่งลักษณ์”จะอยู่หรือจะไป แต่ยิ่งใกล้วันโหวต..กระแส”ถอดถอน”ดูเหมือนจะเริ่ม”ดัง”มากขึ้นทุกขณะ ทั้งจากสายผู้มีอำนาจในบ้านเมือง กลุ่มขั้วตรงข้ามที่ยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในคสช.ที่เห็นว่า หากไม่มีการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้เป็นตัวอย่างในคดีทุจริต ก็อาจถูกมองว่า การรัฐประหารของ ”บิ๊กตู่” เท่ากับเป็นการ “เสียของ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสวนทางการนโยบายของคสช.และรัฐบาล ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น

ณ วันนี้ กระแสลมจึงเปลี่ยนทิศ ต้องจับตาว่ากระแสลมนั้นจะเพิ่มความแรงลมมากขึ้นเพียงใด แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ "ยิ่งลักษณ์” เกิดอาการ “เสียวสันหลัง" ได้แล้ว!!!