'บิ๊กตู่'ชาติทหารผู้มากับสัญญา

'บิ๊กตู่'ชาติทหารผู้มากับสัญญา

บุคคลแห่งปี2557 : "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ชาติทหารผู้มากับสัญญา

"เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน เราจะทำอย่างซื่อตรง ขอแค่เธอจงไว้ใจ และศรัทธา...แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ขอคืนความสุขให้เธอ..ประชาชน" ท่อนหนึ่งจากบทเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย อันดังก้องขึ้นใจผู้คนทุกหย่อมหญ้า ถือเป็นอีกเซอร์ไพรส์ ซึ่งสะท้อนตัวตน สิ่งที่อยู่ในใจ และความมุ่งมั่นของผู้ประพันธ์ ผู้ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นเขาได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

และนี่ก็คือเกร็ดเล็กๆ อันแปลกแยกกับบุคลิกดุดัน ที่หลอมรวมเข้าไว้ในหลากหลายคุณสมบัติ สถานะของ "บุคคลแห่งปี 2557" จึงน่าจะได้ต่อขบวนพ่วงท้ายชื่อของเขาไปพร้อมกันอีกหนึ่งวลี ในวาระดิถีก้าวขึ้นปีใหม่

ปีใหม่ 2558 ที่นายกรัฐมนตรียังมีสารพันปัญหาอยู่เต็มสองบ่า และมีคำถามตามมาว่า สถานะเหล่านั้นของเขา จะช่วยคลี่คลายได้อย่างไร แม้คำตอบมิได้ล่องลอยมากับสายลม หากแต่แฝงฝังหวังไว้ในบทเพลงที่เขาร้อยเรียง

"วันนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยก็รู้ จะขอสู้กับอันตราย ชาติทหารไม่ยอมแพ้พ่าย นี่คือคำสัญญา วันนี้ชาติเผชิญพาลภัย ไฟลุกโชนขึ้นมาทุกครา ขอเป็นคนที่เดินเข้ามา ไม่อาจให้สายไป แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ความสุขจะคืนกลับมา... ประเทศไทย"

บ่ายวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศใช้กฎอัยการศึกได้เพียง 2 วัน สังคมทั้งมวลล้วนจับจ้องยังบทบาทของผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ "ท้าวมาลีวราช" ผู้อาสาเข้ามาปลดชนวนความรุนแรง และพยายามผ่าทางตันระหว่างการเผชิญหน้า มองเห็นสงครามกลางเมืองอยู่รำไร

"ขอโทษด้วยนะ ผมต้องยึดอำนาจ" คือคำประกาศปฏิวัติอย่างสุภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังการประชุม 7 ฝ่าย โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งฝ่ายแกนนำมวลชน และรัฐบาลรักษาการล้มลง เพราะไม่ยอมลดราวาศอก ก่อนที่จะมีคำสั่งหรือประกาศต่างๆ ตามมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ผู้บัญชาการทหารบกผู้นี้ ยืนกรานต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่า จะไม่มีปฏิวัติ โดยเฉพาะที่ดูเหมือนจะหนักแน่นที่สุดก็คือ การให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมปีที่แล้ว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้ำหนักหนาว่า การปฏิวัติไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่จะสร้างปัญหาขึ้นใหม่ แล้วลูกหลานจะอยู่กันอย่างไร

นั่นคือ คำยืนยันเมื่อกลิ่นปฏิวัติโชยแรงขึ้นเป็นลำดับ อันเนื่องมาจากเกิดเหตุจลาจลบริเวณรอบนอกมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 64 คน จากนั้นก็เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจบริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล มีผู้บาดเจ็บ 221 คน

แต่คำตอบนักข่าว นับจากนั้นสืบเนื่องมาอีกนานหลายเดือน หาได้สร้างความกระจ่างให้แก่สังคม ที่ยังคงคาใจอยู่ว่า "กองทัพกำลังคิดอะไรอยู่" โดยเฉพาะ "บิ๊กตู่" ผู้ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ ผู้เป็นกำลังหลักในก้าวย่างแห่งขบวน "บูรพาพยัคฆ์" เหล่าทหารกล้าผู้รับได้ฉายาว่า ทหารเสือพระราชินี

ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งก้าวขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ต่อจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า "ผมไม่พูดว่าปฏิวัติ หรือไม่ปฏิวัติ แต่ผมพูดอย่างเดียว ประชาชนต้องปลอดภัย อย่าตีกัน"

หากแต่เป็นก้าวแรกในฐานะผู้นำกองทัพ ที่นับจากวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์เสมือนเข้ามายืนอยู่ระหว่างเขาควายแห่งความขัดแย้ง แบ่งฝ่ายออกเป็นสองขั้ว แน่นอน "ประชาชนต้องปลอดภัย อย่าตีกัน" ย่อมต้องมาก่อนเรื่องรัฐประหาร ที่นับเนื่องต่อจากนั้น กองทัพบกต้องทำงานภายใต้การบริหารของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554

คล้ายกับบูรพาพยัคฆ์ โดยการนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งน่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสุขสงบ และกองทัพบกโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูเหมือนเงียบเชียบเรียบร้อย จนทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า รัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการตัดสินใจแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือว่าได้วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี รัดกุมรอบคอบ ไม่มีรถถังออกมาอวดศักดานุภาพเหมือนปฏิวัติครั้งผ่านๆ มา

แม้ตามคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดบอกหนักแน่นว่า พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายตรงหน้างานนั้นเลย หากแต่เส้นทางบูรพาพยัคฆ์ และความครบเครื่องของ ตท.12 (จปร.23) ผู้นี้ ไหนเลยจะไม่มีใครคิดว่า ทหารเสือผู้นี้จะไม่ใช้ตำราพิชัยสงคราม

ความตอนหนึ่งในหนังสือ "เขาชื่อตู่" ที่จัดทำขึ้นโดยกองบรรณาธิการเนชั่นสุดสัปดาห์ไขปริศนาคาใจเอาไว้ดังนี้

"ยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบหว่างเขาควาย คณะทำงานยุทธศาสตร์เห็นตรงกันว่า คู่ขัดแย้งสองฝ่าย "เพื่อไทย+นปช." กับ "กปปส." ต้องการใช้ทหารและดึงทหารไปอยู่ข้างตน"

ฉะนั้นจังหวะก้าวของกองทัพจึงต้องระมัดระวัง เพราะหากก้าวผิดนิดเดียวจะกลายเป็นการ "เลือกข้าง" และเข้าไปอยู่ในวังวนความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว

พล.อ.ประยุทธ์พยายามรักษาจุดยืนของการ "ไม่รัฐประหาร" ให้ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อ ส่วนการจะนำกำลังทหารออกปฏิบัติการรักษาความสงบนั้น บรรทัดฐานสุดท้ายอยู่ที่การ "รักษาสถานการณ์" เมื่อเกิดการประท้วงระหว่างประชาชนด้วยกันหรือระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน แล้วเกิดความสูญเสียจำนวนมากเท่านั้น

หนังสือ "เขาชื่อตู่" ยังบรรยายถึงการเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้าพิธีสวนสนามในวันกองทัพไทย เมื่อกลางเดือนมกราคม 2557 ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งนั่นย่อมวิเคราะห์ได้ว่า เป็นการดำเนินกลยุทธ์อำพรางการศึก (เขาชื่อตู่ หน้าที่ 95-96)

กระนั้นก็ตาม หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า บทบาทของกองทัพภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ถูกท้าทาย ยั่วยุ ตลอดถึงการสร้างเงื่อนไขมาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่ง ปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธที่เข้ามาลอบทำร้ายประชาชนไม่หยุดหย่อน ขณะที่ฝั่งตรงข้าม กปปส.พากันโหมประโคมว่า มีคนมีสีเข้าไปเป็นกองกำลังคุ้มครอง หรือแม้แต่ร่วมรบเป็นแถวหน้าให้ กปปส.

หากแต่สปอตไลท์ยิ่งฉายจับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ "อัศวินม้าขาว" มากขึ้นทุกขณะ เพราะลำพังคำยืนยันว่า "ไม่มีปฏิวัติ" ไม่ได้ทำให้ความคาดหวังลดน้อยถอยลง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกองทัพส่งทหารเสนารักษ์เข้าดูแลผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเอาใจใส่ หรือการส่งกองกำลังเข้าไปพิทักษ์นักศึกษารามคำแหงที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ปิดล้อมภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2557 การปรากฏตัวของหน่วย "ซีล" ในภารกิจพิเศษที่ถูกฝ่ายตรงข้าม กปปส.โหมประโคมว่า กองทัพเลือกข้าง...แต่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังยืนอยู่บนที่มั่นตรงกลาง แม้กระทั่งเมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก นำทหารและยุทโธปกรณ์เข้ายึดกรุงเอาไว้เบ็ดเสร็จ หลายคนเรียกปฏิบัติการนี้ว่า ปฏิวัติเงียบ ก่อนล่อเสือมาติดกับในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า

ประกาศแต่งตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เมื่อเวลา 16.30 น. ตรึงคนไทยทั้งประเทศให้ปักหลักรอฟังข่าวสำคัญไว้ที่หน้าจอ หลายคนทอดถอนใจไว้อาลัยประชาธิปไตย แต่อีกหลายคนรู้สึกโล่งราวยกภูเขาออกจากอก

ไม่มีช่อดอกไม้ไปมอบให้ทหารอย่างเอิกเกริกเหมือนเมื่อคราว "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่อารมณ์คนไทยที่แสดงผ่าน "โซเชียลเน็ตเวิร์ก" อีกไม่น้อยต้อนรับย่างก้าวใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์ อันถูกแปรเป็นอาณัติความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในการจัดวางผังอำนาจในลำดับถัดมา ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมเป็นเครื่องรับประกันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ของเขาด้วย

ในฐานะผู้บังคับบัญชาทหาร จนถึงเก้าอี้สูงสุดที่ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็น "นาย" ที่ลูกน้องรักเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง เขาสามารถสั่งให้ซ้ายหันขวาหัน หรือแม้กระทั่งไปตายได้โดยผู้รับคำสั่งไม่ลังเล ก็เพราะบุคลิกและความจริงใจที่เขามีให้ในทุกระดับ นั่นจึงเป็นที่มาให้ลูกน้องเทหมดหน้าตักกับคำสอนสั่งให้ยึดมั่นประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันกองทัพอันเป็นที่พึ่งสุดท้าย

ว่ากันว่า ก่อนตัดสินใจรัฐประหารในวินาทีสุดท้าย ลูกน้องระดับขุนทัพบอกกับ "บิ๊กตู่" ว่า "ถ้ายึดอำนาจแล้ว นายต้องเป็นนายกรัฐมนตรี หากไม่เป็นก็ไม่ต้องปฏิวัติ"

บทเรียนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถูกนำมาเป็นตัวตั้งให้ คณะนายทหาร คสช.นึกตระหนักถึงความบกพร่องในการบริหารจัดการอำนาจในแบบฉบับบิ๊กบัง อย่างที่เรียกกันว่า "เสียของ" การบริหารทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกรวบมาไว้ในมือแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งงานด้านความมั่นคงที่ต้อง "ทำความเข้าใจ" กับแรงต่อต้าน คลื่นใต้น้ำที่พร้อมจะหมุนเกลียวปั่นป่วน งานปฏิรูปประเทศอันเป็นภารกิจหลักที่ส่งผ่านการจัดการของแม่น้ำ 5 สาย ได้แก่ รัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบรายวัน ปัญหาหนักอึ้งด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งการเดินสายทำความเข้าใจกับนานาอารยประเทศทั้งมิตรที่แนบแน่นในย่านเอเชีย ชาติตะวันตกบางประเทศ และเวทีนานาชาติ

บทบาทที่เข้มข้นดุดัน ตามบุคลิกเฉพาะตัวที่คนในกองทัพรู้จักกันดี คือมรดกอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ภาพของเขาบางครั้งดูจะไม่เป็นมิตรกับสื่อสักเท่าใด นับแต่วันแรกที่ต้องตอบคำถามแบบต้อนเข้ามุมของ "วาสนา นาน่วม" และวิวาทะกับเจ๊ยุ ยุวดี ธัญญสิริ หลังคำพูดของเธอถูกนำไปขยาย แต่กระนั้นชาติทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า เขาไม่ถือโทษโกรธเคือง ซึ่งก็เป็นเช่นกรณีนักศึกษากลุ่มดาวดิน ที่ประท้วงชู 3 นิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้ถือเป็นสาระ หรือแม้แต่คำให้สัมภาษณ์พลั้งปากกรณี "แหม่ม" เกาะเต่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่รีรอที่จะกล่าวคำขอโทษในเวลาไม่นานจนเกินอภัย

กล่าวสำหรับกับสื่อมวลชน พล.อ.ประยุทธ์มักบอกนักข่าวเสมอว่า ตัวเองเสียงดัง ดูดุดัน แต่จริงแล้วไม่มีอะไร ซึ่งกรณีนี้ยังไม่แน่ชัดนักว่า จะหมายรวมถึงคำประกาศใช้มาตรการเด็ดขาดด้วยการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ด้วยหรือไม่

หากแต่คำประกาศคงไว้ซึ่งอำนาจตามกฎอัยการศึก และ "ห้ามสื่อมวลชนวิจารณ์รัฐบาล" อาจจะกลับกลายเป็นกระแสตีกลับให้เขาต้องถอยกลับมายืนอยู่ในจุดตั้งรับ อย่างกรณีทหารเข้าไปกดดันสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ให้ยุติรายการเสียงประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย ตอน "เสียงประชาชนต้องฟังก่อนปฏิรูป" ซึ่งสุดท้ายต้องปลดผู้ดำเนินรายการออก เรื่องนี้บิ๊กตู่บอกว่า "ไม่ข่มขู่และไม่ให้เปลี่ยนผังรายการ รัฐบาลและ คสช. ทำงานเพื่อประเทศ ขอสื่อมวลชนอย่าวิจารณ์ เพราะรับไม่ได้ ขอความเห็นใจ เสรีภาพของสื่อมวลชนยังเป็นปกติ แต่หากมีผู้กระทำผิดกติกาจะเชิญมาพูดคุย"

ในด้านการบริหาร ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เคยบอกกับสังคมว่า เขาไม่ใช่ "อัศวินม้าขาว" จำต้องรับบทหนักกว่าใครๆ ในปีกของฝ่ายบริหาร ที่ต้องนำรัฐนาวาฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจ คงไม่ใช่เพราะความโดดเด่นรอบรู้ ตอบได้ทุกเรื่องและมีเวทีพูดคุยกับสังคมมากมาย ไม่เฉพาะแค่คืนวันศุกร์คืนสุขให้คนในชาติเท่านั้น ขณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาหลายคนเป็นรัฐมนตรีโลกลืม

"ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม ทำงานไม่ได้หยุด เบี้ยเลี้ยงวันละ 400 ไม่คุ้ม เมียจะเลิกอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์เอ่ยถึงอาจารย์น้องคู่ชีวิต รศ.นราพร จันทร์โอชา ระหว่างการเปิดงานปฏิรูปประเทศไทย

น้อยครั้งนัก ที่ "แฟมิลี่แมน" ผู้นี้จะเอ่ยถึงภรรยา เช่นเดียวกับบัณฑิตนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ฝาแฝดหัวแก้วหัวแหวน "พลอย-เพลิน" ธัญญา-นิฏฐา เจ้าของวงดนตรีทรีโอ BADZ ดูเหมือนจะโลว์โปรไฟล์ ต่างกับลูกนายกฯ คนอื่นๆ ที่ผ่านมา

หลังการยึดอำนาจ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้า คสช. เขาก็เดินหน้าคุมสถาบันต่างๆ มากมาย เช่น เป็นประธานคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), ประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2557, ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2557, ประธานคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2557 ฯลฯ

ในวันที่ 26 สิงหาคม เขาก็ได้อนุมัติโครงการและงบประมาณรวมกว่า 1 แสนล้านบาท เป็นงบวงเงินสินเชื่อแนวทางพัฒนายางพารา 5 หมื่นล้านบาท สร้างบ้านแก่ผู้มีรายได้น้อยประมาณ 34,200 ล้านบาท และอื่นๆ อีกมากมาย ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ นอกจากนั้นยังมีอีกหลายโครงการคลอดตามมา นัยว่าเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มีเสียงวิจารณ์กันมากมายว่า มันคือประชานิยม เช่น แจกเงินชาวนา ปรับราคาพลังงาน

รัฐบาลประยุทธ์ 1 ดูเหมือนจะแตกต่างจากรัฐบาลทหารชุดก่อนๆ โดยเฉพาะรัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพราะรัฐนาวาของบิ๊กตู่ไม่ได้ยึดแนว "อนุรักษ์" ตรงเผงเป็นไม้บรรทัด ด้วยการผลักดันเมกะโปรเจกท์มูลค่ามหาศาล อย่างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง รวมมูลค่าประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูง 4 สาย มูลค่า 783,229 ล้านบาท รถไฟทางคู่ 6 เส้นทางทั่วประเทศ 1.3 แสนล้านบาท และรถไฟฟ้า 10 เส้นทาง

4 เดือนกับ 5 วัน ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงบทบาทผู้นำฝ่ายบริหารได้อย่างโดดเด่น ด้วยคุณลักษณะเฉพาะตัว เอาการเอางาน รู้ทุกอย่าง จับทุกสิ่ง พูดทุกเรื่อง ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาและรัฐบาลไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ก็คือ เสียงวิจารณ์รอบด้าน ที่กำลังดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า ในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมไม่อาจจะออกประกาศใดๆ ให้เสียงนั้นเงียบลง เว้นเสียแต่ว่า เขาจะมีวิธีการอันใดที่ทำให้ผู้คนยังรักเขาไม่เสื่อมคลายเหมือนที่โพลล์หลายสำนักให้คะแนน "ฮิตติดชาร์ต" กว่า 80% ในช่วงก่อนหน้า

หากแต่ภารกิจบนบ่า อันว่าด้วยความปรองดองและโรดแม็พสู่การปฏิรูปประเทศนั้น หนักหนาสาหัสนัก

"วันนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยก็รู้ จะขอสู้กับอันตราย ชาติทหารไม่ยอมแพ้พ่าย นี่คือคำสัญญา วันนี้ชาติเผชิญพาลภัย ไฟลุกโชนขึ้นมาทุกครา ขอเป็นคนที่เดินเข้ามา ไม่อาจให้สายไป แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ความสุขจะคืนกลับมา... ประเทศไทย"

ผ่านไป 7 เดือน บทเพลงแห่งความหวังนี้ยังก้องอยู่ในใจคนไทยทุกคน....พวกเขายังคงตั้งตารอ รอวันความสุขจะกลับคืนสู่ประเทศไทย

"อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนแล้วกัน รักพวกเรา รักพวกผมก็รักน้อยๆ แต่รักนานๆ ขอบคุณ สวัสดี" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2557