แกะรอย...วัตถุโบราณสมบัติเครือข่าย'พงศ์พัฒน์'

แกะรอย...วัตถุโบราณสมบัติเครือข่าย"พงศ์พัฒน์" ยากต่อการประเมินค่า
การจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. พร้อมพวกในข้อหาฉกรรจ์ ทั้งหมิ่นเบื้องสูง และเรียกรับผลประโยชน์จากธุรกิจนอกกฎหมาย เป็นคดีใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย และยิ่งคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำผิดส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการรักษากฎหมายยิ่งได้รับความสนใจจากสังคมมากเป็นพิเศษ
ที่สำคัญในคดีนี้มีการขยายผลจนปรากฏหลักฐานอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอีกหลายหน่วยงานเข้าไปพัวพันด้วย ซึ่งหากการขยายผลพบหลักฐานจนเชื่อได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจากธุรกิจนอกกฎหมายที่ว่านั้นจริง ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกจากตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องทางคดีจะเป็นที่สนใจของสังคมแล้ว ทรัพย์สินที่อายัดได้ โดยเฉพาะพระพุทธรูป และโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เครื่องถ้วยชาม และภาพวาด กว่า 20,000 ชิ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ยากต่อการประเมินค่า ยังเป็นที่สนใจของสังคมโดยเฉพาะในกลุ่มนักประวัติศาสตร์ด้วย
ล่าสุดกรมศิลปากร ได้เข้าตรวจสอบโบราณวัตถุเหล่านี้แล้ว แม้จะมีการยืนยันในเบื้องต้นว่าโบราณวัตถุเหล่านี้ส่วนใหญ่บุคคลทั่วไปสามารถครอบครองได้ แต่ก็พบว่ามีหลายชิ้นที่ควรอยู่ในศาสนสถาน และบางชิ้นเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างเช่น เทวรูปหินทรายเเกะสลัก พุทธศตวรรษที่ 12 ศิลปะลพบุรี ซึ่งมีอายุมากกว่า 1,200 ปี และพระพุทธรูปไม้แกะสลักสมัยอยุธยา ที่ตรวจพบในครั้งนี้ด้วย
"อาจต้องใช้เวลานาน 1-2 เดือน ในการตรวจคัดแยกวัตถุโบราณที่พบว่าชิ้นไหนสามารถครอบครองได้ชิ้นไหนไม่สามารถครอบครองได้ อย่างเช่นเทวรูปหินทรายที่พบต้องตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ยืนยันได้ขณะนี้ว่าหากเป็นของจริงก็ไม่น่าจะหายไปจากปราสาทหรือเทวสถานในไทย เนื่องจากเราได้นำของปลอมไปวางแทนของจริงที่เก็บไว้อย่างดีซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีหายไป แต่เทวรูปหินทรายลักษณะนี้มีอยู่ในปราสาทหินทั้งในไทยและเพื่อนบ้าน ซึ่งหากหายน่าจะหายจากเพื่อนบ้านมากกว่า" นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว
ข้อมูลของกรมศิลปากร ระบุว่า เทวรูปหินทรายแกะสลัก ที่พบครั้งนี้ สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะสมัยลพบุรี อายุกว่า 1,200 ปี ราวพุทธศตวรรษที่ 12-18 ศิลปะมีลักษณะรูปแบบคล้ายคลึงศิลปะเขมร สร้างขึ้นตามคติศาสนาพราหม-ฮินดู ซึ่งพบได้ตามเทวสถานในไทยและเพื่อนบ้าน โดยในไทยส่วนใหญ่พบในภาคอีสานตอนใต้ และมีแพร่หลายไปในอีสานตอนบนและภาคกลาง
นอกจากเทวรูปแล้วยุคนี้ยังมีพระพุทธรูป ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาแบบมหายน แม้ศิลปะเขมรจะมีอายุเก่าแก่ไปถึงพุทธศตวรรษที่ 12 แต่งานศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 ซึ่งจัดเป็นแบบศิลปะขอมสมัยบาปวน สมัยนครวัด และสมัยบายน โดยที่พบมากได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรก พระพุทธรูปในสมัยบาปวนนั้น มีลักษณะพิเศษ คือ พระหนุ (คาง) เป็นร่อง มีขมวดพระ-เกศาเล็ก ขอบสบงด้านหน้าเว้าอยู่ใต้พระนาภี (สะดือ) ส่วนด้านหลังโค้งขึ้นมาถึงกึ่งกลางหลัง ส่วนในสมัยนครวัด พระพุทธรูปมีพระพักตร์สี่เหลี่ยม แสดงสีพระพักตร์ถมึงทึง พระเนตรเบิกกว้าง นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีเทริด (กระบังหน้า) และมงกุฎทรงกรวย ประดับกรองศอ และหากเป็นพระ พุทธรูปนาคปรก นาคจะมีรัศมีเป็นนาคทรงเครื่องด้วยเช่นกัน ในสมัยบายนซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองช่วงสุดท้ายของอาณาจักรขอมนั้น พระพุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองมาก จึงพบได้โดยทั่วไปในเทวสถานต่างๆ ในภูมิภาคนี้
ซึ่งเทวรูปหินทราย หนึ่งในของกลางที่ยึดได้ครั้งนี้มีลักษณะเป็นโค้งยึดกับฐาน มีลักษณะทางศิลปะสอดคล้องกับเทวรูปในยุคนี้ หากเป็นของจริงถือว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความเก่าแก่มาก จนไม่สามารถประเมินค่าได้
วัตถุโบราณที่ถูกตรวจพบอีกชิ้นที่มีคุณค่าไม่แตกต่างกันคือ พระพุทธรูปไม้ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย หากเป็นของจริงจะมีความสำคัญทางวิชาการมาก เพราะแม้แต่กรมศิลปากรเองยังหาได้ไม่ครบทั้งอง๕พระและฐานแบบนี้
"พระพุทธรูปไม้สมัยอยุธยา เป็นโบราณวัตถุที่สำคัญมากทางวิชาการ กรมศิลปากรคงต้องดูรูปแบบ เเละตรวจพิสูจน์ ถึงที่มาที่ไป โดยสิ่งสำคัญเเละมีลักษณะพิเศษ จะมีการเเจ้งให้ วัด หรือ ประชาชน ที่มีสิ่งของพวกนี้หรือมีหลักฐานก็สามาถเเจ้งมาได้ที่กรมศิลปากรโดยตรงเพื่อสืบเสาะหาแหล่งที่มา" อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว
ข้อมูลของกรมศิลปากร ระบุว่าพระพุทธรูป สมัยอยุธยา หรือราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 24 เริ่มจากพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนต้นจะเป็นศิลปะที่สืบต่อจากพระพุทธรูปแบบอู่ทองทั้งรุ่นแรก และรุ่นที่ 2 โดยจะแตกต่างจากศิลปะลพบุรี คือมีการสร้างรูปเล่าเรื่องประดับ ส่วนฐานพระพุทธรูป เช่น ตอนมารผจญ หรือ ประดับด้วยพระสาวก ต่อมาสมัยอยุธยาตอนกลางได้มีการสร้างพระพุทธรูปแบบใหม่เกิดขึ้นในศิลปะอยุธยา คือพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปที่มีเครื่องทรง เช่น มงกุฎ กรองศอ สังวาล ทับทรวง ทองพระกร ในระยะนี้ยังมีเครื่องทรงไม่มาก จึงเรียกว่า ทรงเครื่องน้อย ต่อมาในสมัย อยุธยาตอนปลายมีเครื่องทรงอย่างมาก จึงเรียกว่า ทรงเครื่องใหญ่ พร้อมๆกับมีการสร้างรูปแบบใหม่หรือที่เรียกว่าปางใหม่ คือ การแสดงปางประทานอภัย โดยยกทั้ง 2 พระหัตถ์ระดับพระอุระ เรียกว่าปางห้ามสมุทร
"พระพุทธรูปไม้ที่พบน่าจะเป็นสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งจะต้องตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เเละการแจ้งหายของโบราณวัตถุ ซึ่งที่ผ่านมากรมศิลปากรได้จัดทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยเฉพาะที่อยู่ในครอบครองของวัด หรือสถานที่ราชการ หรือเอกชน ไว้แล้ว" อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว
กรมศิลปากร จะร่วมมือกับตำรวจในการตรวจสอบวัตถุโบราณที่ยึดได้จากเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ทั้งหมด โดยจะสืบค้นไปด้วยว่าวัตถุโบราณเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร โดยเฉพาะเทวรูปและพระพุทธรูปโบราณหลายชิ้นที่ไม่พบหลักฐานในไทย เพื่อขยายผลว่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าวัตถุโบราณหรือไม่







