สภาวิศวะฯชี้5ปัจจัยตึกถล่ม

สภาวิศวะฯชี้5ปัจจัยตึกถล่ม

สภาวิศวกรชี้รูปแบบก่อสร้างเสาและพื้นคอนกรีตไร้ค้ำยันฉุดโครงสร้างอ่อนแอ ต้นเหตุ 5 ปัจจัยเสี่ยงตึกรังสิตถล่ม

นายอมร พิมานมาศ รองเลขาธิการสภาวิศวกร อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงสาเหตุเบื้องต้นเท่าที่ทางสภาวิศวกรเข้าไปตรวจสอบสถานที่การถล่มของอาคารคอนโดมีเนียม 6 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างพังถล่มลงมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นจากการพบความผิดปกติในภายตัวอาคาร ทำให้ให้น้ำหนักสาเหตุของพังทลายนั้นเกิดขึ้นจากการออกแบบและการก่อสร้าง เนื่องมาจากแบบที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นแบบที่ไร้การค้ำยันบริเวณเสา เป็นแบบสมัยใหม่ที่ช่วยลดต้นทุน เพราะมีการใช้สลิงค์เป็นตัวขึงและค้ำยันผนัง แทนการค้ำยันเสา ซึ่งเป็นแบบก่อสร้างที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีความรวดเร็วในการก่อสร้าง ลดต้นทุน และทำให้จำนวนความกว้างของแต่ละชั้นลดลง เพิ่มพื้นที่ชั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แบบดังกล่าวถือว่ามีความอ่อนแอ จำเป็นต้องใช้วิศวกรและขั้นตอนการควบคุม มีการออกแบบปลอดภัย ขั้นตอนการควบคุมงานก่อสร้างที่รัดกุม

เขาอธิบายต่อว่า สาเหตุที่รูปแบบการก่อสร้างที่ไร้เสาค้ำยันนั้นได้รับความนิยมนอกจากช่วยลดต้นทุนและขั้นตอนแล้วยังช่วยในหลีกเลี่ยง ข้อกำหนดที่ให้โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสูง 23 เมตรขึ้นไป จะต้องทำรายงานติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) นั่นให้โครงการในปัจจุบันไม่นิยมสร้างตึกสูง มากนัก แต่เน้นที่จำนวนชั้นมาก โดยการก่อสร้างแบบไร้คานที่ช่วยสร้างห้องที่ความสูงไม่มากเพื่อเพิ่มจำนวนชั้นมากขึ้น

ทั้งนี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่ใช้รูปแบบที่ไร้เสาค้ำยันถือว่ามีความเสี่ยง โดยเฉพาะโครงการคอนโดและที่พักอาศัย รวมถึงหอพักในปัจจุบันนิยมสร้างแบบนี้จำนวนมาก เพราะมีความรวดเร็ว แต่ค่อนข้างเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบถล่มในลักษณะเดียวกันกับอาคารที่รังสิต ที่อาจจะเสี่ยงเกิดขึ้นในโครงการอื่นๆ หากมีการคุมคุมดูแลที่ไม่รัดกุม ขาดความชำนาญในการก่อสร้างด้วยระบบพื้นไร้คานชนิดอัดแรงทีหลัง ทั้งที่ในการออกแบบที่ถูกต้องสำหรับพื้นไร้คานจะต้องไม่บางเกินไป พร้อมกันกับมีการเสริมเหล็กหิ้วในพื้นที่ แบบวิ่งผ่านแกนเสาทั้งสองทิศทาง พร้อมกันเสริมเหล็กปลอกในพื้นผ่านแกนเสา

“การพังลงมาของอาคาร 6 ชั้นที่รังสิต เป็นการพังทลายหรือวิบัติแบบ Pancake Collape คือเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งของอาคารแล้วลามไปทั่วอาคาร หรือเป็นโดมิโนจนพังทั้งหลัง ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าการก่อสร้างโครงสร้างการค้ำยันที่อ่อนแอ ก่อสร้างด้วยระบบพื้นไร้คานชนิดอัดแรงทีหลังหรือพื้นโพสต์ ซึ่งมีการเสริมลวดอัดแรงเพื่อเพิ่มกำลังรับน้ำหนักของพื้น ซึ่งเป็นรูปแบบการก่อสร้างที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันกับหลายโครงการ เพราะใช้เวลาสร้างเสร็จเร็ว เพราะไม่มีคานค้ำยัน แต่มีความอ่อนแอและเสี่ยงสูงในการถล่ม หากไม่มีการค้ำยันที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีแนวทางการออกแบบและก่อสร้างที่ถูกต้อง ซึ่งตึกที่ถล่มถือว่าอ่อนแอมาก เนื่องจากคอนกรีตยังไม่ได้อายุและการก่อสร้างส่วนต่างๆ ก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์" เขากล่าว

เขากล่าวกล่าวถึง 5 สาเหตุหลักของการที่ทำให้ตึกถล่มด้วย 5 สาเหตุหลักคือ 1.ขั้นตอนการก่อสร้างไม่ถูกต้องหรือไม่มีแผนการก่อสร้าง เช่น การใช้ค้ำยันไม่เพียงพอ หรือไม่ถูกต้อง หรืออาจจะค้ำยันเร็วเกินไปขณะที่พื้นคอนกรีตยังไม่แข็งตัวพอ หรือการเทคอนกรีตกองที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจนเพิ่มน้ำหนักที่บริเวณนั้นมากผิดปกติ หรืออาจจะเกิดจากไม่ดึงลวดอัดแรงในพื้นชั้นล่างก่อน ที่จะทำการค้ำยันเพื่อรองรับน้ำหนักพื้นที่กำลังก่อสร้าง ทำให้พื้นชั้นล่างไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักพื้นที่กำลังเทคอนกรีตอยู่

2.การเร่งรีบในการก่อสร้าง จนเป็นสาเหตุทำให้คอนพื้นในพื้นชั้นล่างยังไม่ได้อายุ จึงยังไม่กำลังรับน้ำหนักเพียงพอ แต่กลับเร่งรีบการก่อสร้างพื้นในชั้นถัดไป เพื่อให้การก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้น ทั้งที่พื้นคอนกรีตในพื้นชั้นล่างยังไม่แข็งแรงเพียงพอในการรับน้ำหนักของพื้นชั้นบนได้ เป็นสาเหตุให้พื้นถล่ม

“หลายโครงการที่เร่งรีบก่อสร้างในกรุงเทพมหานครก็มีความเสี่ยงหาก ไม่มีการก่อสร้างถูกต้องตามขั้นตอนโดยมีวิศวกรมาคุมงานในทุกกระบวนการ” เขากล่าว

และ 3.อาจจะเกิดจากการออกแบบผิดพลาด เช่น การเสริมเหล็กที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เพียงพอ เช่น การเสริมเหล็กระหว่างพื้นและเสา หรือระหว่างพื้นและกำแพงปล่องลิฟต์ หากทำไม่ถูกต้องเพียงพอ ก็อาจจะทำให้โครงสร้างปราศจากการยึดรั้งระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ จนเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนต่างๆ หลุดแยกจากกัน 4.การใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น คอนกรีตกำลังต่ำเหล็กเสริมหรือลวดอัดแรงที่ด้อยคุณภาพ และ 5.ฐานรากวิบัติเกิดเสาเข็มหัก หรือเสาเข็มหนีศูนย์ ที่ต้องรอให้จัดการเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างเสร็จจึงจะเข้าไปตรวจสอบได้

ทั้งนี้การก่อสร้างอาคารดังกล่าวที่มีความสูง 3 ชั้นขึ้นไป หรือโครงสร้างมีความสูงตั้งแต่ 4 เมตร หรืออาคารที่มีช่วงคานตั้งแต่ 5เมตรขึ้นไป จึงเข้าข่ายงานวิศวกรรมควบคุม ตั้งแต่การออกแบบและก่อสร้างสร้าง โดยวิศวกรที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมสาขาวิศวกรรมโยธาสามัญขึ้นไปสำหรับผู้ออกแบบ และผู้ทำการควบคุมก่อสร้างจะต้องเป็นวิศวกรระดับภาคีโยธาขึ้นไป พร้อมทั้งจะต้องมีวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างประจำอยู่ ณ สถานที่ก่อสร้างตลอดเวลา ตามกฎระทรวงกำหนในสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมพ.ศ.2550

ทั้งนี้วิธีการเข้าสอบไต่สวนวิศวกร นั้นจะต้องพิจารณาในด้านกระบวนการออกแบบและการควบคุมงานก่อสร้างเป็นหลักว่าเกิดจากการออกแบบที่ผิดพลาดตั้งแต่ต้นขาดการค้ำพื้นคอนกรีตบริเวณเสา หรือ เกิดขึ้นในกระบวนการก่อสร้างที่ผู้คุมงานไม่ปฏิบัติตามออกแบบก่อสร้าง