เร่งสอบ'4เด็กอุ้มบุญ'เข้ากัมพูชา

เร่งสอบ'4เด็กอุ้มบุญ'เข้ากัมพูชา

ตำรวจเผยผลตรวจสอบประวัติการเข้า-ออกประเทศ พบหนุ่มญี่ปุ่นพาเด็กเล็กข้ามแดนเข้ากัมพูชาไปแล้ว4คนแต่ยังเป็นปริศนา

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีอุ้มบุญผิดกฎหมายว่า ได้เร่งรัดการตรวจดีเอ็นเอเด็กทั้ง 9 คนที่พบคาห้องพักในคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว และสอบปากคำหญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์

ส่วนพ่อเด็กซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นนั้น พล.ต.อ.เอก ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีวัตถุประสงค์อื่นซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ต้องการตัวเด็กอย่างเดียว โดยจะต้องพิจารณาว่าแรกเริ่มมีเจตนาอย่างไร รวมถึงพฤติกรรมต่อเนื่องด้วยว่ามีเจตนานำเด็กไปขายหรือไม่ หากพบว่ามีการขายเด็กต่อ ก็อาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์

รอง ผบ.ตร. ย้ำว่า ชายชาวญี่ปุ่นเข้าข่ายต้องสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆ อายุแค่นี้ถึงอยากมีลูกหลายคน อีกทั้งมีรายงานว่าชายคนดังกล่าวเป็นลูกชายของเศรษฐีติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศญี่ปุ่น น่าจะมีวิธีการอะไรที่ถูกต้องมากกว่านี้ แต่หลังเกิดเหตุตำรวจเข้าไปตรวจสอบคอนโดฯ กลับหลบหนีไป ส่วนตัวน่าเชื่อว่าเป็นการค้ามนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามต้องทำการพิสูจน์ทราบก่อนที่จะกล่าวหา

เผยหนุ่มญี่ปุ่นพาเด็กข้ามแดนแล้ว4คน

ด้าน พล.ต.ต.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัชต์ ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 2 (ผบก.ตม.2) เรียกประชุมชุดสืบสวนปราบปราม บก.ตม. 2 เพื่อตรวจสอบกรณี นายชิเกตะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี หนุ่มชาวญี่ปุ่น ที่เป็นผู้รับผิดชอบเด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คน

ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่า มีการเข้า-ออกประเทศไทยมากกว่า 60 ครั้ง และมีการนำเด็กชายและหญิงวัยเยาว์ออกจากประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชาแล้ว 4 คน

รายแรก คือ ด.ช.มานามิตสุ สัญชาติญี่ปุ่น อายุเกือบ 2 ขวบ ใช้หนังสือเดินทาง MZ0739142 ออกจากประเทศไทยโดยเที่ยวบินทีจี 0316 ในวันที่ 9 พ.ค.2556 เวลา 05.48 น.

รายต่อมา คือ ด.ช.มิตสุชิกะ อายุขวบเศษ สัญชาติไทย หนังสือเดินทางเลขที่ AA 3235920 ออกจากประเทศไทยด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบินพีจี 0937 เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2557 เวลา 20.34 น.

รายที่สามและสี่ คือ ด.ญ.เอมิลี่ อายุขวบเศษ สัญชาติไทย เลขหนังสือเดินทาง AA 3288403 ออกจากประเทศไทยไปพร้อมกับ ด.ญ.นีน่า ซึ่งเป็นฝาแฝด หนังสือเดินทางเลขที่ AA3288374 ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบิน พีจี 0933 วันที่ 6 ก.ค.2557 เวลา 12.15 น.

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า สื่อมวลชนญี่ปุ่นได้ติดตามข่าวนี้เช่นกัน โดยเดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อติดตามหาเด็กทั้ง 4 คนหลังจากทราบว่านายชิเกตะ เป็นเจ้าของบริษัท 4 แห่งในกรุงพนมเปญ และเป็นถึงประธานกรรมการบริษัท

แม่เด็กแฝดรับหนุ่มญี่ปุ่นจ้างอุ้มบุญ

มีรายงานจากตำรวจชุดสืบสวนที่ตรวจสอบกรณีนี้ว่า ขณะนี้กำลังติดตามหาตัวแม่อุ้มบุญของเด็กทั้ง 4 คน ส่วนเด็กฝาแฝดนั้นมีชื่อในทะเบียนราษฎร์ของบ้านเลขที่ 466/7 ซ.ลาดพร้าว 130 (มหาดไทย 2) แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งมี นายชิเกตะ เป็นเจ้าบ้าน และระบุว่าเป็นบิดา ส่วนมารดาเป็นหญิงไทย อายุ 29 ปี เป็นชาว อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

เบื้องต้นได้มีการติดต่อไปยังหญิงไทยรายนี้แล้วยอมรับว่าเป็นแม่อุ้มบุญเด็กฝาแฝดจริง และยอมรับว่าเมื่อเห็นข่าวปรากฏใบหน้าของชายชาวญี่ปุ่นรายนี้ก็จำได้ทันที เพราะเคยว่าจ้างให้อุ้มบุญ ซึ่งไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมจึงต้องการมีลูกมากๆ โดยเธอได้รับการว่าจ้างเป็นเงินเกือบ 4 แสนบาท

แม่อุ้มบุญผู้นี้ ให้ข้อมูลว่า ได้คลอดเด็กแฝดที่โรงพยาบาลเอกชนย่านสีลม โดยก่อนหน้านั้นเคยเจอหน้าชายชาวญี่ปุ่นรายนี้เพียงครั้งเดียวที่สถานพยาบาลหรือ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช แต่ไม่ได้คุยกัน เพราะมีผู้หญิงชาวไทยอีกคนซึ่งเป็นเอเยนต์คอยดูแล

เธอกล่าวด้วยว่า ระหว่างการอุ้มบุญไม่คิดว่าจะได้ลูกแฝด เพราะวันที่ใส่ตัวอ่อน ใส่ไปสองตัว โดยไม่ทราบว่าไข่เป็นของใคร เพราะเอเยนต์ไม่บอก ส่วนสาเหตุที่ใส่ตัวอ่อนสองตัว เนื่องจากหากตัวหนึ่งหลุด ก็ยังเหลืออีก 1 ตัว แต่กรณีนี้ไม่หลุด จึงได้ลูกฝาแฝด

เผยคนใกล้ตัวรับรู้แต่ไม่ว่าอะไร

"ระหว่างอุ้มท้อง สามี ลูกชาย และคนในบ้าน รวมถึงพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานรับรู้ว่าหนูรับจ้างอุ้มบุญ ทุกคนไม่ว่าอะไร โดยเฉพาะสามีซึ่งเราแคร์ความรู้สึก ปรึกษากันแล้วสามีไม่ว่าอะไร เพราะถือว่าเป็นเรื่องการปฏิสนธิ โดยใช้เครื่องมือแพทย์ช่วย ไม่ได้ตั้งครรภ์แบบธรรมชาติ ส่วนสาเหตุที่ต้องรับอุ้มท้องเพราะมีปัญหาด้านการเงิน" แม่อุ้มบุญเด็กแฝด กล่าว

หลังคลอดไม่เห็นเด็ก-มีเซ็นเอกสาร

แม่อุ้มบุญผู้นี้ ยังให้ข้อมูลด้วยว่า การคลอดใช้วิธีผ่าตัดนำเด็กออก จึงทำให้ระหว่างนั้นสลบ ไม่มีโอกาสเห็นใบหน้าของเด็กฝาแฝด เห็นเพียงรูปถ่ายที่เอเยนต์ถ่ายรูปมาให้ดู และเมื่อดูแล้วรู้สึกเฉยๆ เพราะคิดว่าเป็นลูกคนอื่น ไม่ใช่ลูกตัวเอง แค่อุ้มดูแล คลอดแลกกับผลประโยชน์ตอบแทน

"ไม่เคยเห็นตัวจริงของเด็กหญิงฝาแฝด หลังคลอดก็ไม่เห็น และไม่เจอชาวญี่ปุ่น มีเพียงทนายความนัดเจอข้างนอก ให้เซ็นเอกสารเยอะแยะ ก็รู้ว่าเซ็นรับรองบุตรเพื่อนำไปทำหนังสือเดินทางของเด็ก และไม่รู้ว่าเด็กฝาแฝดไปอยู่ประเทศไหน" แม่อุ้มบุญให้ข้อมูลกับตำรวจชุดตรวจสอบ

จ่อเอาผิดสถานพยาบาลอุ้มบุญเด็ก 9 ราย

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีพบเด็กทารกอุ้มบุญ 9 คน หญิงสาวตั้งครรภ์อีก 1 คน ในห้องพักคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว

พล.ต.ต.ชยุต เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในการตรวจค้นคลินิกย่านเพลินจิต ถือเป็นข้อบ่งชี้หรือข้อพิรุธแน่ชัดว่ามีการปิดคลินิกและเก็บเอกสารหลบหนีไป แต่ก็ได้เอกสารบางส่วนที่เป็นประโยชน์มาตรวจสอบได้

อย่างไรก็ตาม การอุ้มบุญแม้เป็นความผิด แต่ยังไม่กฎหมายรองรับ จึงต้องใช้กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการ เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล ยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างเต็มที่ตามกรอบของกฎหมาย และเร่งคลี่คลายความสงสัยต่างๆ

เมื่อถามว่าโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องมีกี่แห่งที่จะต้องถูกดำเนินคดี พล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะหลายที่อาจจะเป็นส่วนของการทำคลอด

"อาจจะมีมากกว่านี้ก็ได้ ส่วนมีมากกว่า 5 แห่งหรือไม่ คาดว่าน่าจะมากกว่านั้น" พล.ต.ต.ชยุต ระบุ

สธ.แจ้งความสถานพยาบาลสัปดาห์หน้า

ด้าน นายชาตรี พินใย นิติกรชำนาญการพิเศษ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมแจ้งข้อหาเจ้าของคลินิกย่านเพลินจิต ในความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบริเวณ ชั้น 12 เอ ในความผิดฐานยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมกระทำการไม่ได้มาตรฐานตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท

ส่วนชั้น 15 ในอาคารเดียวกันนั้น เข้าข่ายความผิดข้อหาประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท โดยจะเดินทางไปแจ้งความในวันที่ 13-14 ส.ค. ที่ สน.ลุมพินี

นายชาตรี กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานพยาบาลที่พบว่ามีการกระทำผิดลักลอบให้บริการอุ้มบุญนั้น ขณะนี้พบว่ามี 12 แห่ง และเข้าไปตรวจค้นแล้ว 1 แห่ง หลังจากนี้จะต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดทั้งหมด