นักอนุรักษ์กดดัน3ห้างดังยุติขายปลานกแก้ว

นักอนุรักษ์กดดัน3ห้างดังยุติขายปลานกแก้ว

กลุ่มนักอนุรักษ์เตรียมเดินหน้ากดดัน เดอะมอลล์ ,วิลล่า มาร์เก็ต ยุติขายปลานกแก้วตาม 3 ห้างดัง

หลังจากที่กลุ่มอนุรักษ์ ผู้พิทักษ์ปะการัง Reef Guardian Thailand ได้เปิดแคมเปญการรณรงค์ให้ซีอีโอห้างดัง ได้แก่ เทสโก- โลตัส, แมคโคร, เซ็นทรัล, เดอะมอลล์ และ วิลล่า มาร์เก็ต ให้ยุติการขายปลานกแก้วผ่าน www.change.org/saveparrotfish โดยมีประชาชนร่วมลงชื่อกว่า 17,000 คน ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ล่าสุด เทสโก - โลตัส, เซ็นทรัล และ แมคโคร ได้ออกประกาศยุติการขายเนื้อปลานกแก้วแล้ว

นายเพชร มโนปวิตร นักวิชาการด้านนิเวศวิทยาและการอนุรักษ์ ในฐานะที่ปรึกษากลุ่ม Reef Guardian Thailand กล่าวว่า ทางกลุ่มจะเดินหน้าการรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะตอนนี้เหลือแต่ เดอะมอลล์ และ วิลล่า มาร์เก็ต เท่านั้นที่ยังไม่ยอมหยุดการขายปลานกแก้ว ในขณะที่ห้างอื่นๆที่เราได้รณรงค์ถึง ทั้ง เทสโก โลตัส, แมคโคร, เซ็นทรัล ได้ประกาศยุติกันหมดเแล้ว โดยหากทั้ง 2 ห้างยังเพิกเฉย ทางกลุ่มคิดว่าจะต้องมีไปยื่นรายชื่อให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าเหล่านี้ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยหลังจากนั้นทางกลุ่มก็มีแผนที่จะรณรงค์กับแหล่งค้าอาหารทะเลขนาดใหญ่อื่นๆด้วย เพราะปลานกแก้ว เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อนิเวศน์วิทยาทางทะเลมาก

“การรณรงค์เรื่องนี้ไม่ใช่ทำไปแค่นึกสงสารปลานกแก้ว แต่ต้องการให้ความรู้สังคมมีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและความสำคัญของปลานกแก้วต่อระบบนิเวศของปะการัง ซึ่งทุกวันนี้ปะการังไทยมีปัญหารุมเร้ามากมาย และยังมีการคาดการณ์ว่าปะการังอาจจะหมดไปเพราะภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก แต่มนุษย์สามารถช่วยแนวปะการังได้และสามารถทำให้ปะการังแข็งแรงและมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองดีขึ้นได้ ด้วยการหยุดจับปลาตามแนวปะการัง หยุดการพัฒนาชายฝั่งที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการท่องเที่ยวแบบไม่รับผิดชอบ”นายเพชร กล่าว

นักอนุรักษ์ผู้นี้ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ปลานกแก้วจะเป็นแค่ปลากลุ่มเดียว แต่งานวิจัยยืนยันแล้วว่าพวกมันมีผลต่อสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการังอย่างมาก ทั้งการช่วยควบคุมสาหร่ายไม่ให้ขึ้นคลุมปะการัง การเปิดพื้นที่ให้ตัวอ่อนปะการังได้ลงเกาะ และการหมุนเวียนแร่ธาตุในระบบเช่นการผลิตทรายขาวละเอียด ที่ช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ดังนั้น เราอยากให้ทุกคนเห็นว่าในระบบนิเวศทุกสิ่งทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน รวมไปถึงพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางและรุนแรง”

ทั้งนี้การตัดสินใจของผู้บริโภคในเมืองส่งผลกระทบโดยตรงถึงการอนุรักษ์ที่ทะเล ซึ่งเรื่องนี้มีงานวิจัยรองรับโดย คอลัมน์ Ocean View ของเว็บไซด์ National Geographic เพิ่งลงบทความตรงใจเรื่อง To Save Coral Reefs, Start With Parrotfish เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาโดยสรุปผลจากงานวิจัยในคาริบเบียนว่า สิ่งที่สำคัญลำดับแรกสุดที่จะช่วยเป็นหลักประกันของระบบนิเวศปะการังที่สมบูรณ์แข็งแรงคือ การอนุรักษ์ปลานกแก้ว ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มปลากินพืชที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการฟื้นตัวของปะการัง รวมถึง เครือข่ายการติดตามสถานภาพปะการังโลก (GCRMN) ของ IUCN เพิ่งจัดทำรายงานฉบับล่าสุดเกี่ยวกับสถานภาพปะการังในคาริบเบียน พบว่าปะการังในคาริบเบียนลดจำนวนลงกว่า50% ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพราะการหายไปของปลานกแก้วและหอยเม่น ทั้งหมดเหล่านี้พวกเราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับแนวปะการังของประเทศไทย

ดังนั้น หากต้องการต่ออนุรักษ์ปะการัง สามารถเริ่มได้จากการอนุรักษ์ปลานกแก้ว “ปลานกแก้วในวันนี้แม้อาจจะยังไม่ใช่ปลาหายาก แต่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยฟื้นฟูปะการัง หากปล่อยให้ปลานกแก้วกลายเป็นปลาที่นิยมในการบริโภค เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นาน ปลานกแก้วจะลดจำนวนลงจนไม่อาจทำหน้าที่รักษาระบบนิเวศปะการังได้อีกต่อไป ดังนั้น จึงเชิญชวนร่วมกันรณรงค์หยุดบริโภค หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดจับปลานกแก้ว เพราะปลานกแก้วคือหลักประกันสำคัญของการอยู่รอดของปะการัง และอนาคตของปะการังก็คืออนาคตของชาวประมงและพวกเราทุกคน” นายเพชร กล่าว