นักโทษหญิงคดียาเสพติดล้นคุก 'สภาพแวดล้อม'ทำสิ้นอิสรภาพ?

นักโทษหญิงคดียาเสพติดล้นคุก 'สภาพแวดล้อม'ทำสิ้นอิสรภาพ?

(รายงาน) นักโทษหญิงคดียาเสพติดล้นคุก "สภาพแวดล้อม"ทำสิ้นอิสรภาพ?

ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มี "ผู้ต้องขังหญิง" ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมากจนล้น...และกว่า 80% เป็นการต้องโทษคดียาเสพติด!

สังคมอาจได้ยินข่าวอยู่เนืองๆ ว่าผู้หญิงถูกจับในคดีค้ายา ขนยา หรือแม้กระทั่งหิ้วยาเข้ามาในราชอาณาจักรให้กับแฟนหนุ่มต่างชาติที่เพิ่งคบหากันไม่นาน บ้างก็ถูกหลอก บ้างก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ บ้างก็เต็มใจเพราะความรักบังตา

เหล่านี้กลายเป็นเรื่องเล่าอันไม่รู้จบของชะตากรรมผู้หญิงไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทว่าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนจำที่แออัดจนล้น จากมิติปัญหาทั้งตัวบทกฎหมาย ความบกพร่องของพนักงานสอบสวน และนโยบายของรัฐบาลเกือบทุกยุคสมัยที่ประกาศทำสงครามกับยาเสพติด แล้วผลิตวาทกรรมว่าผู้ที่เกี่ยวข้องถือเป็น "คนเลว" และเป็น "อันตรายร้ายแรงต่อสังคม" จนต้องกวาดล้างให้สิ้นซาก

ผู้หญิงที่ถูกจับด้วยคดียาเสพติดไม่ว่าจะกรณีใด จึงมักถูกมองแบบเหมารวมว่าเป็น "ผู้หญิงเลว" เป็นภัยร้ายต่อสังคมและประเทศชาติ หากแต่ไม่เคยมีใครคิดหรือวิเคราะห์เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ หรือคดีแต่ละคดีว่าเกิดขึ้นอย่างไรเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับ "ผู้ถูกกล่าวหา" เลย

ที่น่าแปลกใจก็คือ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด น่าจะทำให้คดีเกี่ยวกับยาเสพติดลดลง ทว่าในทางตรงข้ามปริมาณผู้ต้องขังหญิงในคดียาเสพติดกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปริมาณคดียาเสพติดในภาพรวมก็ไม่ได้ลดลง ซ้ำร้ายยังเป็นภาระหนักแก่ทางเรือนจำและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในการดูแลผู้ต้องขังภายใต้ความขาดแคลนทั้งสถานที่และบุคลากร

กระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการกำลังใจฯ ตระหนักถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้จัดประชุมระดมสมองเรื่อง "ผู้หญิง อิสรภาพที่ถูกจำกัด ภายใต้วาทกรรมยาเสพติด ครั้งที่ 2" ที่โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 17 ก.ค.นี้

หลักคิดในเรื่องนี้ก็คือ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องหันมาช่วยกันมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า "ผู้ต้องขังหญิงในคดียาเสพติด" ถูกวาทกรรมชุดใดบ้างกระทำต่อตัวเธอ และเป็นธรรมหรือไม่ที่เธอต้องถูกจองจำ

ที่ผ่านมา โครงการกำลังใจฯได้ทำวิจัยในประเด็นนี้ พบว่ามูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิด จนทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดียาเสพติดนั้น เกิดจากปัจจัยทางสังคม 2 กรณีคือ

1.สิ่งแวดล้อมที่ผู้กระทำความผิดอาศัยอยู่ พบว่าผู้ต้องขังหญิงคดียาเสพติดเกือบ 80% มักอาศัยอยู่ในห้องเช่ากับเพื่อน ญาติ คนรัก และส่วนใหญ่ในละแวกที่พักอาศัยอยู่นั้นมีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้เสพ จำหน่าย และผู้หญิงบางคนก็พักอาศัยอยู่ในแหล่งผลิตยา จนทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเรื่องปกติ

บุคคลที่ใกล้ชิดผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายในครอบครัว อย่างพ่อแม่พี่น้อง ลุง ป้า น้า อา ลูกหลาน เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แม้ว่าผู้หญิงในครอบครัวจะไม่เคยเกี่ยวข้อง แต่เหตุการณ์บางอย่างก็นำพาให้ไปเกี่ยวข้องได้โดยไม่ตั้งใจ เช่น น.ส.ขาว (นามสมมุติ) มีลุงเกี่ยวข้องกับยาเสพติด บอกให้นำยาบ้าไปส่งให้ลูกค้าที่ตลาด เมื่อส่งยาเสร็จให้รับเงินกลับมาให้ลุง แต่การส่งยาทำให้ น.ส.ขาว ตกเป็นผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ทั้งที่ในสภาพสังคมไทยอาจปฏิเสธญาติผู้ใหญ่ได้ยาก และด้วยการอาศัยอยู่แวดล้อมกับคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาจทำให้รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา

อีกกรณีตัวอย่างหนึ่ง คือ น.ส.สุ (นามสมมุติ) เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง จ.หนองคาย แล้วเดินทางกลับเข้ามาในประเทศภายในวันเดียวกัน พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ดครึ่ง เธอถูกจับ ศาลลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่ต่อมาโจทก์คือพนักงานอัยการจังหวัดหนองคายยื่นอุทธรณ์ ส่งผลให้ น.ส.สุ มีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครอง และนำเข้ามาในราชอาณาจักร ให้จำคุกตลอดชีวิต

2.ผู้หญิงกลายเป็น "ผู้ต้องขังหญิง" เพราะการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมลำดับต้น บางรายมีพฤติการณ์เร่งรีบสรุปสำนวนเพื่อให้หมดหน้าที่ของตัวเอง จนทำให้ผู้หญิงจำนวนมากตกเป็นจำเลยของสังคม ทั้งที่ในการทำคดี อาจต้องมองสถานการณ์ในมิติอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่ตีความตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพียงอย่างเดียว

จากวาทกรรมชุดแล้วชุดเล่าเกี่ยวกับยาเสพติด ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำโดยไม่มีทางเลือก ส่งผลให้เรือนจำมีจำนวนนักโทษแออัดยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็น กระทบถึงความเป็นอยู่โดยรวมของนักโทษ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมี "ข้อกำหนดกรุงเทพฯ" หรือ ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (United Nations Rules for the Treatment of Women Prisoners and Non- custodial Measures for Women Offenders , the Bangkok Rules) ซึ่งเกิดจากพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์ในพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

ปัญหาสิทธิมนุษยชนของผู้กระทำความผิดหญิงและผู้ต้องขังหญิง จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมไทยต้องร่วมกันคิดเพื่อแก้ไข ในยามที่กำลังมีกระแสเรื่องการลงโทษผู้ต้องหาคดีข่มขืน ซึ่งมี "ผู้หญิง" ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน!