แบ่งสายทาบ!สนช.-สภาปฏิรูป

"คสช.-บิ๊กทหาร" แบ่งสายทาบ "คนดี-เด่น-ดัง" เข้าเป็น สนช.-สมาชิกสภาปฏิรูป
"ปลัดกลาโหม" ประสานขอข้อมูลจากเวทีระดมความเห็น เล็งผลักดันเข้าไปช่วยยกเครื่องประเทศ ขณะที่ "บิ๊กกองทัพ" อีกหลายรายต่อสายคุยวิสัยทัศน์คนทำงานด้านนิติบัญญัติ ด้าน "สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย" เตือนอย่าตั้งข้าราชการเข้าไปทำหน้าที่มาก หวั่นไม่มีเวลาพอ เหตุ สนช.ต้องเร่งรัดผลักดันกฎหมายนับร้อยฉบับ
แหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ ล่าสุดได้มีการมอบหมายจาก คสช.ให้แบ่งสายกันไปทาบทามบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นภายหลังมีรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ทั้งนี้ แม้ทั้งสององค์กรจะมีการกำหนดที่มาของสมาชิกแตกต่างกัน คือ สนช.มีสมาชิก 200 คน จากการแต่งตั้งทั้งหมด ขณะที่ สปช.มีสมาชิก 250 คน จากการคัดเลือกในระดับจังหวัด และแยกกลุ่มสรรหาตามประเด็นปฏิรูป 11 ประเด็นก็ตาม ทว่าสมาชิกทั้ง 2 สภาต้องผ่านการคัดเลือกขั้นสุดท้ายโดย คสช.อยู่ดี
มีรายงานว่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเตรียมการเพื่อการปฏิรูปประเทศ ได้รับมอบหมายให้สรรหาและทาบทามบุคคลเข้าสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปฯ โดยที่ผ่านมา พล.อ.สุรศักดิ์ ได้ประสานไปยังองค์กรที่ร่วมจัดเวทีระดมความเห็นในประเด็นปฏิรูปการเมืองและประเด็นอื่นๆ เช่น สถาบันพระปกเกล้า ให้ช่วยกันพิจารณาบุคคลที่มีความเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าร่วมเวที ให้สมัครเข้ารับการคัดสรรเป็นสมาชิก สปช.
ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.นั้น ได้มีการมอบหมายให้นายทหารระดับสูงหลายคนไปต่อสายทาบทามบุคคล โดยนายทหารที่มีบทบาทในห้วงที่ผ่านมาก็เช่น พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) เป็นต้น
"สุรชัย"ติงอย่าตั้ง ขรก.มาก-หวั่นไม่มีเวลา
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงการทาบทามบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งใน สนช.ว่า ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น สนช. ไม่ควรเป็นข้าราชการประจำ เพราะอาจไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับการทำงานใน สนช.
"ถ้า สนช.เป็นข้าราชการประจำเสียส่วนใหญ่ จะมีเวลาทุ่มเททำงานหรือไม่ เพราะมีงานประจำรออยู่ ถ้าทุ่มเททำงานให้ สนช.เต็มเวลา จะไปกระทบงานประจำในฐานะข้าราชการหรือไม่ เรื่องนี้จะโยงกับวิธีการตั้งสมาชิก หลักการคือควรให้ได้คนที่อุทิศเวลาได้เต็มที่ เต็มเวลา" นายสุรชัย กล่าว
ย้ำ สนช.ต้องคลอดภายใน ส.ค.
"ผมคิดว่าคนเก่ง คนดีมีฝีมือมีเยอะมากในบ้านเราที่พร้อมจะทุ่มเท ประกอบอาชีพอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่ที่ผ่านมากลไกกติกาไม่เอื้อให้พวกเขาเข้ามา เพราะฉะนั้นถ้า คสช.ให้เกียรติคนเหล่านั้น แล้วเชิญเขาเข้ามา ก็น่าจะได้คนดีมีฝีมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองอีกมาก" อดีตรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ย้ำ
เขาบอกด้วยว่าภารกิจของ สนช.คือเรื่องกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีร่างกฎหมายค้างอยู่ในชั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภานับร้อยฉบับ ถ้าจะเร่งรัดก็ต้องเร่งรัดกันช่วงนี้ ที่สำคัญ สนช.ต้องตั้งให้เสร็จภายในเดือน ส.ค. เพราะมิฉะนั้นจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ไม่ทันเวลา
แนะ คสช.นำบทเรียนข้อดีมาปฏิบัติ
นายตระกูล มีชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.อธิบายรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินหลังประกาศใช้ธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยจะยังคงให้ คสช.ดูแลงานด้านความมั่นคงต่อไป
โดย นายตระกูล บอกว่า เข้าใจในแนวยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการให้บทบาท คสช.ต่อการปกป้องวัตถุประสงค์ของการเข้ายึดอำนาจ ได้สานต่อภารกิจที่ได้ประกาศไว้ในระยะแรก หลังจากถ่ายโอนอำนาจไปยังรัฐบาลที่มาตามบทบัญญัติของธรรมนูญชั่วคราว แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเองหรือไม่ โดยแนวทางที่เกิดขึ้นมองว่าคณะทหารมีการศึกษาบทเรียนการรัฐประหารในอดีต และเลือกนำข้อดีมาปฏิบัติ
ปฏิรูปต้องยึดโยงประชาชนจึงสำเร็จ
สำหรับแนวทางการปฏิรูปภายใต้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น นายตระกูล กล่าวว่า คสช.จะไม่ปล่อยให้ดำเนินการใดๆ ที่ไม่ตรงกับยุทธศาสตร์การทำงานที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ระบุถึงยุทธศาสตร์ 9 ข้อตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 อาทิ สร้างความเป็นธรรมในสังคม การพัฒนาคนเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ฯลฯ
นายตระกูล กล่าวอีกว่า ประเด็นการจัดผู้แทนเพื่อไปสมัครเป็น สปช. ตามแผนระยะที่ 2 ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าบุคคลใดจะเป็นผู้คัดเลือก พอเข้าใจได้ว่า กระบวนการขับเคลื่อนแนวทางตามยุทธศาสตร์ไปยัง สปช. หรือสนช. จะต้องกำหนดแนวทางและให้ได้ผลตามยุทธศาสตร์ทั้ง 9 ข้อ รวมถึงค่านิยมหลักของคนไทยทั้ง 12 ข้อ
อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวทางขับเคลื่อนจะอาศัยเพียงกลไกข้าราชการประจำคงไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม เพราะยุทธศาสตร์ 9 ข้อ หรือค่านิยม 12 ข้อนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่ประชาชน
ชี้ค่านิยม1โหลต้องเริ่มจากครอบครัว
“ผมมองว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม หรือค่านิยม 1 โหลนั้น เป็นสิ่งที่ยาก และไม่สามารถทำให้สำเร็จภายใน 1 ปีแน่นอน เพราะผมจำได้ว่า ค่านิยมหลักนั้นผมได้เรียนมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.2500 ในส่วนของหน้าที่พลเมือง แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับนำมาสร้างใหม่ สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากพื้นฐาน คือ สถาบันครอบครัวที่แข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันมีปัจจัยอื่นที่ต้องนำมาพิจารณาร่วม เช่น กระแสทุนนิยม ค่านิยมสมัยใหม่ นอกจากนั้นแล้วต้องคำนึงถึงความสำคัญของภาคประชาชนในบทบาทตรวจสอบด้วย” นายตระกูล กล่าว
ไทยวอนจีนเปิดรับ "สินค้าเกษตร"
ด้านภารกิจของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ครั้งที่ 2 ณ กรุงปักกิ่งนั้น วานนี้ (12 ก.ค.) นายสีหศักดิ์ ได้เป็นประธานประชุมกงสุลใหญ่ไทย และเจ้าหน้าที่ไทยในจีน เพื่อชี้แจงสถานการณ์ในประเทศไทย รวมถึงผลการหารือกับจีน
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญในการหารือกับจีน คือ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เพราะจีนถือเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไทย ทั้งยังเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักของไทยด้วย
ทั้งนี้ ไทยได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน เพื่อดูภาพรวมด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งหมด เพราะที่ผ่านมามีเพียงคณะกรรมการที่ดูด้านการค้าเป็นหลัก ขณะที่จีนอยากให้ประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 3 โดยเร็วเมื่อไทยมีความพร้อม
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า ได้หารือกับจีนว่าจะทำอย่างไรให้ไทยส่งออกสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าหลักของไทย ซึ่งได้ขอให้จีนเปิดตลาดให้มากขึ้น อย่านำเอามาตรการต่างๆ โดยเฉพาะด้านสุขอนามัยมาเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า เพราะสินค้าไทยมีมาตรฐานอยู่แล้ว และอยากให้จีนมาลงทุนในโครงการที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรของไทย อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าว เป็นต้น
จีนอยากสานต่อรถไฟความเร็วสูง
"จีนได้ยืนยันความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค รวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งได้ยืนยันไปว่า คสช.ประสงค์จะเดินหน้าโครงการ แต่ขอให้มีความโปร่งใสและอยู่ภายใต้งบประมาณประจำปี ซึ่งจีนก็เข้าใจ" นายสีหศักดิ์ ระบุ







