สั่งทำงบฯ58แบบขาดดุลยึดวินัยการเงิน

สั่งทำงบฯ58แบบขาดดุลยึดวินัยการเงิน

"ประยุทธ์"เผยสั่งทำงบฯปี 58 ไว้เป็นแบบขาดดุล ย้ำยึดระเบียบวินัยการเงินการคลัง เผยศก.เริ่มฟื้นตัว

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ว่า งานสำคัญของ คสช. ในการบริหารราชการแผ่นดินและขับเคลื่อนเศรษฐกิจมุ่งหวังเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ การมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ 2558 โดยได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 2,575,000 ล้านบาท และรายรับไว้ที่ 2,325,000 ล้านบาท เป็นการวางแผนงบประมาณขาดดุล ที่250,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีงบประมาณ 2557 ที่ผ่านมา ทั้งนี้จะยึดถือระเบียบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดแนวนโยบายดังกล่าวมุ่งเน้นผลประโยชน์ไปที่ประชาชนทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณลดความซ้ำซ้อน โดยมีการบูรณาการงานทุกกระทรวงในขั้นตอนการจัดทำงบประมาณ โดยให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงในเรื่องที่เกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกัน เช่น การบริหารจัดการน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างดำเนินการ ขาดความต่อเนื่องเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

การวางแผนงบประมาณขาดดุลนั้น เนื่องจากมีความจำเป็นต้องให้มีความสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเป็นความจำเป็นเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนได้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นการขาดดุลเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่กระเตื้องขึ้น ในปัจจุบันนั้น อาจจะส่งผลให้กลไกที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอื่น ๆ อาทิ การส่งออก การลงทุน การบริโภคอาจจะมีแน้วโน้มที่ลดลง ดังนั้นการวางแผนงานในเรื่องของการเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของภาครัฐจะเป็นมาตรการที่สำคัญ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกระดับ การบริโภค การจ้างงาน นำเม็ดเงินสู่มือประชาชน คสช. จะติดตามผลของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจจะมีการพิจารณางบประมาณภาครัฐเพิ่มเติมในระหว่างปี เพื่อให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. เป็นต้นมา มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้น จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 85.1 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7เดือนที่ผ่านมา การท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

สำหรับแผนการลงทุนที่ คสช. เร่งรัดเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและสร้างบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการลงทุน ที่จะเร่งดำเนินการเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2557 นี้ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย การสร้างรถไฟรางคู่ ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคม ได้จัดทำรายละเอียดเสร็จสิ้นสมบูรณ์พร้อมเข้ารับการพิจารณาจากคสช.ในเร็วๆนี้ ซึ่งคสช.ได้ให้นโยบายในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพครบถ้วนสมบูรณ์ อาทิ การเชื่อมต่อของระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ จะต้องต่อเนื่องเชื่อมโยง สถานีรถไฟฟ้าโดยรอบปริมณฑล จะต้องคำนึงถึงรายละเอียดที่จำเป็น อาทิ มีพื้นที่จอดรถ และต้องได้สัดส่วนสัมพันธ์กับจำนวนผู้โดยสาร

" ปัจจุบันทุกโครงการอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ จากคณะ คสช. ที่ประกอบไปด้วย สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ปปช. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง คสช. อาจจะพิจารณานำกระบวนการตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นที่ได้รับการยอมรับจากสากล มาใช้ตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย โดยจะเป็นการเน้นตรวจสอบตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำความต้องการ(TOR) การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินการและการตรวจรับ รวมทั้งการเผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบตลอดทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน ซึ่งในอนาคตจะมีการปฏิรูปในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องระเบียบ กฎหมาย กระบวนการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นอย่างสมบูรณ์ต่อไป " หัวหน้าคสช.กล่าว

ส่วนเรื่องการปรับปรุงกลไกของระบบยุติธรรม การบริหารราชการของส่วนราชการ องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ เพื่อความมีประสิทธิภาพ ความโปร่งใสเป็นธรรม และตรวจสอบได้นั้น ในระยะเร่งด่วนนี้ คสช. จะแก้ไขเฉพาะในส่วนที่เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อรัฐ และการแก้ไขนั้นไม่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ส่วนในระยะที่ 2 จะดำเนินการแก้ไขในเรื่องที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจมีความสำคัญ และมีผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง โดยทั้งนี้ให้ประชาชนและทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการ ผ่านสภาปฏิรูป ซึ่งจะถูกดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึง ขั้นตอนการมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นอีกต่อไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงการบริหารงานรัฐวิสาหกิจนั้น กระทำเพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นในรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นมาตรฐานสากล หลาย ๆ รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานที่ดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาแต่ประการใด มีเพียงบางรัฐวิสาหกิจที่อาจประสบปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการและประสิทธิภาพ ตลอดจนความโปร่งใสที่จะต้องปรับปรุง เพื่อให้สามารถแข่งขันและได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกพวกทุกฝ่าย อาทิ ด้านพลังงาน ด้านการสื่อสาร ที่รัฐจำเป็นต้องคงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างการบริหารงานของรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดประโยชน์และเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง ป้องกันการผูกขาด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ คสช. ต้องขอขอบคุณคณะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีความเข้าใจและเปิดทางให้มีการปรับปรุงแก้ไข เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในระยะยาว การดำเนินการในระยะสั้นนี้จะเป็นการเฟ้นหาบุคคลที่มีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ อยู่ในธุรกิจมานาน รวมทั้งบุคลากรที่มีความรู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการ การตลาด การเงิน และความมั่นคง เข้ามาเป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจเพิ่มเติม สำหรับในระยะต่อไปจะเร่งให้มีการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ก่อให้เกิดการรั่วไหลของงบประมาณ สร้างความเสียหายต่อรัฐ อาทิ การปรับค่าตอบแทนกรรมการให้มีความเหมาะสม ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป การบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจที่ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ไปเร่งพิจารณาถึงแนวทางแก้ไขปัญหาที่รูปธรรมต่อไป

หัวหน้าคสช. กล่าวว่า การบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน คสช. ได้เร่งรัดและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนที่ตกค้างมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555 จนถึงปัจจุบัน ทั้งในเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การชดเชยพืชผลทางการเกษตร อาทิ ยางพารา ทั้งนี้การจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบ ข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเป็นสิทธิของประชาชนที่พึงมีพึงได้ ซึ่ง คสช.ให้มีการตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องบัญชีการจ่าย อาทิเช่น ในกรณีชาวสวนยางนั้น จะต้องเป็นเกษตรกรตัวจริง และไม่มีการบุกรุกใช้ผืนป่ามาทำไร่ โดยทางกระทรวงเกษตรได้ให้มีการขึ้นบัญชีเกษตรกรชาวสวนยางไว้แล้ว คสช. ได้เร่งรัดให้มีความทันสมัยต่อไป รวมเงินงบประมาณที่จะช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกยางพาราประมาณหนึ่งแสนกว่ารายเป็นงบประมาณกว่า 6,600 ล้านบาท จาก 63 จังหวัด และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติที่ตกค้างตั้งแต่ปี 2555ประมาณ 580,000 ราย ใช้งบประมาณ 5,400 ล้านบาท จ่ายเงินเยียวยา ตลอดจนการให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงิน 85,685 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 93 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 22 มิ.ย.2557 การเตรียมการแก้ไขปัญหาลำไยที่คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจาก 8จังหวัดภาคเหนือ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ประมาณ 5 แสนตัน ได้เตรียมมาตรการรองรับ โดยใช้กลไกตลาดปกติ ผ่านระบบสหกรณ์วิสาหกิจชุมชน ศูนย์กลางรับซื้อผลผลิต และโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนผลไม้ภาคตะวันออก เงาะ ลองกอง คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก จึงได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ 4 มาตรการ ได้แก่ การกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต ส่งเสริมการแปรรูป เน้นบริหารจัดการคุณภาพ และประชาสัมพันธ์โดยการส่งเสริมการบริโภค

คสช. ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องเกษตรกรถึงแนวทางการช่วยเหลือในระยะต่อไป คสช. จะพิจารณาแนวทางที่มีความยั่งยืนมีประสิทธิภาพ โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด อาทิ การช่วยเหลือในเรื่องลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมเทคโนโลยี ส่งเสริมตลาด ในส่วนของการบริหารจัดการ จะให้เงินอุดหนุนเฉพาะเรื่อง จะมีการพิจารณาอีกครั้งให้มีความเหมาะสม ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ทั้งนี้เนื่องจากการอุดหนุนสินค้าเกษตรต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาดจะนำมาซึ่งความเสียหายในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การที่รัฐอุดหนุนสินค้าเกษตรชนิดใดชนิดหนึ่ง จะทำให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกเป็นจำนวนมาก ผลิตผลล้นตลาด สินค้าราคาตกในขณะที่นายทุนฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่เป็นปัจจัยในการเพาะปลูกเกิดการทุจริตนำสินค้าจากต่างชาติเข้ามาสวมสิทธิ์ คุณภาพสินค้าตกต่ำไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกทั้งราคาและคุณภาพ สร้างความเสียหายรัฐต้องเสียรายได้ไปเป็นจำนวนมากในขณะที่เกษตรกรประสบปัญหาในการจำหน่ายสินค้าที่ล้นตลาดอีกต่อไปในส่วนการช่วยเหลือชาวนานั้น อยากจะเรียนให้ชาวนาทั้งประเทศได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมเข้าใจ และอาจจะกระทบเกษตรกรชาวนาทั้งประเทศเป็นจำนวนมาก

" เราได้เตรียมการช่วยเหลือในระยะสั้นคือ 2557/58 ในการช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าวนาปี ซึ่งมี 2 มาตรการ มาตรการหลักเป็นการลดราคาปัจจัยการผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมผู้ค้าปุ๋ย ผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ ผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าว กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ ในการควบคุมราคาสินค้าจำเป็น ที่เป็นปัจจัยในการผลิต อาทิ ปุ๋ยเคมี ลดสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ และค่าบริการรถเกี่ยวข้าวลดลง ค่าเช่านาลดลง ซึ่งจะมียอดเฉลี่ย/ไร่ เพื่อให้ลดต้นทุนการผลิต/ไร่ ให้น้อยลงตามลำดับ สำหรับมาตรการสนับสนุนจะเป็นการ สนับสนุนแหล่งเงินทุนการให้สินเชื่อระยะสั้นกับชาวนา ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR โดย คสช.ช่วยเหลือชาวนาด้วยการชดเชยค่าดอกเบี้ยร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 6 เดือน โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ให้สินเชื่อกับสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรในการนำข้าวเปลือกเพื่อจำหน่ายและนำมาแปรรูป การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ใช้เทคโนโลยีการปลูกข้าวที่เหมาะสม ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว และ Zoning ในการจัดหาแหล่งน้ำสนับสนุน ส่งเสริมการตลาด เร่งหาตลาดใหม่ ช่วยเหลือการเก็บStockเชื่อมโยงตลาดในและต่างประเทศ ประกันยุ้งฉาง ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ประกันภัยข้าว ตั้งกองทุนข้าว ตั้งสถาบันพัฒนาศักยภาพทั้งระบบ " หัวหน้าคสช. กล่าว