'ทหารน่าน'ทลายโรงงานไม้

"ทหารน่าน"ทลายโรงงานไม้ อายัดไม้แปรรูปผิดกม. ที่ศรีสะเกษลุยแหล่งซื้อพะยูง
ทหารน่านลุยตรวจ 3 โรงงานไม้แปรรูป พบไม่มีใบอนุญาต 1 แห่ง อายัดไม้แปรรูปผิดกม.-อุปกรณ์ 20 รายการ ขณะทหารศรีสะเกษบุกทลายแหล่งรับซื้อไม้พะยูงมูลค่า 50 ล้าน ส่วน 95 ผู้เสียหายแห่แจ้งความตำรวจสน.ทองหล่อ โวยถูกบริษัทไม้โกงเงิน 75 ล้าน หลังหลอกทำธุรกิจไม้กฤษณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้(1 มิ.ย.) กำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดทหารบกน่าน ได้บูรณาการเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเข้าตรวจสอบโรงงานไม้แปรรูปในพื้นที่อำเภอภูเพียง 3 แห่ง นำโดย พล.ต.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดทหารบกน่าน ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดน่าน พ.ต.อ.สมพงษ์ สวนคร้ามดี รองผบก.ภ.จว.น่าน พ.ต.อ.อำนวย ณ ลำปาง ผกก.สภ.ภูเพียง พ.อ.เศรษฐพล เกตุเต็ม เสนาธิการ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดทหารบกน่าน
พ.ท.วัฒนา จันทร์ไพจิตต์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดน่าน นายชนาธิป เสนแย้ม นายอำเภอภูเพียงและนายสุทัศน์ วงษ์ทับทิม ป้องกันจังหวัดน่าน นำกำลัง 3 ชุดปฏิบัติการ 100 นาย เข้าดำเนินการตรวจสอบโรงงานไม้แปรรูปในพื้นที่อำเภอภูเพียง ตามที่ได้รับการร้องเรียนผ่านโทรศัพท์ สายด่วนความมั่นคง 1374 กอ.รมน. ว่ามีกลุ่มผู้กระทำผิดตั้งโรงงานไม้แปรรูปและจำหน่ายผิดกฎหมาย โดยดำเนินการตรวจค้นใน 3 เป้าหมาย ประกอบด้วย
เป้าหมายที่ 1 โรงงานสมเกียรติค้าไม้ ตั้งอยู่บนถนนเข้าหมู่บ้านปัวชัย ใกล้สามแยก ถนนน่าน-แม่จริม ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน เจ้าของ คือนายสมเกียรติ เกื้อหนุน อยู่บ้านเลขที่ 91/1 ม.2 ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.แพร่ ซึ่งตั้งโรงงานอยู่ริมถนนเห็นเด่นชัด โรงงานแห่งนี้ชาวบ้านได้ร้องเรียนและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียงครหานินทาจากชาวบ้าน ว่าเป็นโรงงานอิทธิพล อ้างว่าเคลียร์กับผู้ใหญ่หมดแล้ว
จากการตรวจค้น พบว่า 1.ไม่มีใบอนุญาตขออนุญาตแปรรูปไม้ 2.ไม่มีใบขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน 3.มีและครอบครองเลื่อยโซ่พร้อมบาร์ และอุปกรณ์โดยผิดกฎหมาย 4.มีไม้แปรรูปผิดกฎหมายในครอบครอง เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดไม้ท่อนเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง อุปกรณ์ ทั้งหมด 20 รายการ
ส่วนเป้าหมายที่ 2 โรงเลื่อยดวงประทีป ตั้งอยู่เลขที่ 115 หมู่ 7 บ้านปัวชัย ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง เจ้าของ คือ น.ส.ประพิศชยา สิทธิยศ จากการตรวจสอบพบว่าเป็นโรงงานแปรรูปไม้ที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฏหมาย ไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด
และเป้าหมายที่ 3 คือ โรงงานสุริยันเฟอร์นิเจอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 111 หมู่ 10 ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง เจ้าของคือ นายวีระ จันทรังษี ขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานแปรรูปไม้เพื่อทำประตูหน้าต่างและเครื่องเรือนจากไม้ มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด
ทั้งนี้สรุปผลการดำเนินการ ตรวจสอบพบเป็นโรงงานไม้แปรรูป มีเครื่องเลื่อยยนต์และเครื่องรีดไม้ รวมทั้งไม้แปรรูปจำนวนกว่า 20 รายการ ไม่มีใบอนุญาตแสดง โดยเจ้าของได้เดินทางไปต่างจังหวัด เจ้าหน้าที่ได้อายัดโรงงานดังกล่าวไว้เพื่อตรวจสอบหลักฐานการขออนุญาต การได้มาซึ่งไม้ ซึ่งจากการตรวจสอบขั้นต้นไม่ได้มีการขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบโรงงานไม้แปรรูปดังกล่าว เป็นการตรวจสอบเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งพบว่ามีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยมีกลุ่มขบวนการผู้ค้าไม้ดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงใช้อำนาจตามประกาศกฎอัยการศึกจู่โจมตรวจค้นจนสามารถจับกุมการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว
ทหารศรีสะเกษทลายแหล่งรับซื้อไม้พะยูง
ขณะที่ จ.ศรีสะเกษ พ.อ.สาธิต เกิดโภค รองผบ.ฉก.3 พร้อมนายไพโรจน์ อินทร์แก้ว นอภ.ภูสิงห์ นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะที่ 3 กองกำลังสุรนารี สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ อส.ภูสิงห์ ร่วม 30 นาย บุกตรวจยึดไม้พะยูง มูลค่าร่วม 50 ล้านบาท ที่บ้านของนางอมรรัชต์ พวงพันธ์อายุ 41 ปี บ้านตะแบง หมู่ที่ 2 ต.ห้วยตึ๊กชู อ.ภูสิงห์ ซึ่งเป็นบ้านรับซื้อไม้พะยูงจากทั่วสารทิศในพื้นที่อำเภอภูสิงห์ มีทั้งไม้เก่า ไม้ใหม่
เมื่อตรวจสอบบริเวณหลังบ้านพบไม้พะยูง เก่า ใหม่ จำนวนนับ 1,000 ท่อน มูลค่าการส่งออกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท เก็บซุกซ่อนไว้ในโกดังเก็บไม้พะยูง จำนวน 3 หลัง โดยมีการอำพรางไม้ ด้วยการทำเป็นหลักรั้ว ให้แสดงถึงไม้เก่าในการหลอกตาเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีตาชั่งสำหรับการชั่งในการซื้อขาย
โดยนางอมรรัชต์ อ้างว่าได้ทำการซื้อถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมนำเอกสารของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานกลางทะเบียนพาณิชย์ ใบทะเบียนพาณิชย์ ชนิดพาณิชย์ ออกอนุญาตให้รับซื้อไม้เก่าแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหาร
ในเวลาต่อทางเจ้าหน้าที่ทหารได้นำกำลังพลบุกตรวจยึดไม้พะยูงอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ทางทิศตะวันตกบ้านโคกใหญ่ หมู่ที่ 3 ต.ห้วยตึ๊กชู อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ห่างหมู่บ้าน 100 เมตร เป็นสระน้ำกว้าง 20 ยาว 35 เมตร ลึก 2.50 เมตร จากการขยายผลทราบว่า สระน้ำดังกล่าวเป็นสถานที่ซุกซ่อนไม้พะยูง จำนวนมาก รอส่งนายทุน
ทางเจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ให้กำลังพลมุดดำน้ำงมไม้พะยูง ได้ไม้พะยูงแปรรูป เป็นท่อนกลมท่อนเหลี่ยม แถมพบไม้แปรรูปอื่นจำนวนมาก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการงมไม้ขึ้นจากสระน้ำร่วม 2-3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ โดยมีนายประยุทธ เจริญธร อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ที่ 3 บ้านโคกใหญ่ ต.ห้วยตึกชู อ.ภูสิงห์ รับเป็นเจ้าของไม้พะยูง โดยอ้างรับซื้อจากชาวบ้าน ในราคากิโลกรัมละ 25-30 บาท เก็บรวบรวมไว้ขายต่อนายทุนกิโลกรัมละ 60 - 70 บาท ส่วนไม้แปรรูปที่อยู่ในสระน้ำเป็นของเครือญาติที่เตรียมนำสร้างบ้าน ที่นำมาแช่น้ำอ้างป้องกันปลวกกิน
ภายหลังการตรวจยึดแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ตรวจวัดปริมาตรไม้และนำของกลางไปเก็บรักษา และนำเอกสารการจับกุมตรวจยึดส่งร้อยเวรสถานนีตำรวจภุธรภูสิงห์ ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไป
โวยถูกตุ๋นทำธุรกิจไม้กฤษณาเชิด75ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น.วันเดียวกัน ที่ สน.ทองหล่อ กรุงเทพฯ นายวัชร เมษพันธุ์ อายุ 41 ปี วิศวกรบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มต่อ ร.ต.ท.จิรโชติ คล้ายคลึง พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ หลังจากถูกบริษัทแห่งหนึ่งหลอกให้ลงทุน ก่อนจะฉ้อโกงเงินไป โดยนายวัชร กล่าวว่า เมื่อประมาณปี 2551 ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อทำไม้กฤษณา โดยมีนางบี (นามสมมุติ) เป็นประธานกรรมการบริหาร โดยก่อนที่จะลงทุนทางบริษัทโฆษณาออกตามสื่อต่างๆ และออกบูธในงานมีชื่อมากมาย อีกทั้งยังเคยออกรายการทีวีที่แสดงให้เห็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างชัดเจน ทำให้เชื่อมั่นในตัวบริษัท จึงลงทุนเงินก้อนแรกไป 4.5 แสนบาท และจะได้เงินปันผลเป็นเงินก้อนในอีก 6 ปี ซึ่งจะได้เงินทั้งหมดประมาณ 1.8 ล้านบาท ตลอดระหว่างเวลาที่รอเงินปันผลนั้น ทางบริษัทให้เพิ่มเงินลงทุนอีก 10% ของเงินลงทุน เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาต้นไม้รายปี เป็นเงิน 4.5 หมื่นบาท ซึ่งระหว่างที่ลงทุนได้ศึกษาข้อมูลมาโดยตลอด
"ประมาณช่วงเดือนเม.ย.2556 ผมเริ่มไปเจอข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่พูดโจมตีบริษัทถึงเรื่องเงินปันผล ทำให้เริ่มไม่มั่นใจ กระทั่งวันที่ 1 มิ.ย.2556 ที่ผ่านมา บริษัทได้เรียกผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดเข้าประชุมเพื่อชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นนางเอแจ้งผู้ร่วมลงทุนว่า บริษัทมีปัญหาจริง โดยขาดสภาพคล่องทางการเงิน และอ้างว่า กรรมการผู้บริการชุดเก่าซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ หอบเงินหนีไปจำนวน 400 ล้านบาท ส่งผลทำให้บริษัทเกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้บริษัทได้ฟ้องแพ่งชาวต่างประเทศดังกล่าวแล้ว ซึ่งประเด็นนี้ผมสงสัยทำไมไม่ฟ้องคดีอาญา เมื่อถามไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา" นายวัชร กล่าวด้วยว่า หลังจากจากนั้นผู้ลงทุนได้ตั้งกลุ่มในไลน์เพื่อพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว และรวมตัวกันหลายครั้งเพื่อประชุมกลุ่มย่อยประมาณ 75 คน เพื่อร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหา และทวงถามความคืบหน้าการคืนเงิน โดยพยายามติดต่อขอเข้าพบนางเอ แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไปทำธุระต่างประเทศ จากนั้นวันที่ 10 ส.ค.2556 ที่ผ่านมา กลุ่มนักลงทุนรวม 95 ราย ได้มาแจ้งความที่ สน.ทองหล่อไว้ โดยทางเจ้าหน้าที่นัดมาสอบปากคำ และยื่นเอกสารเพิ่มเติม โดยมีกลุ่มนักลงทุนอีก 40 ราย ที่ยังไม่ได้แจ้งความเข้ามาแจ้งความด้วย
ด้าน ร.ต.ท.จิรโชติ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับแจ้งความ และมีผู้เสียหายมาให้ปากคำเพิ่มเติม จากนี้จะเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งข้อมูลทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตาม ยอดรวมผู้เสียหายทั้งหมดที่มาแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งข้อมูลไปล็อตแรกมีทั้งสิ้นจำนวน 95 ราย มูลค่าความเสียหายเป็นเงินกว่า 75 ล้านบาท ส่วนผู้เสียหายที่เข้ามาแจ้งความเพิ่มวันนี้จะลงบันทึกประจำวัน และรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งดำเนินคดีต่อไป







