ปฏิบัติการทลายคลังแสงหลังกฎอัยการศึก

ปฏิบัติการทลายคลังแสงหลังกฎอัยการศึก

ปฏิบัติการทลายคลังแสง คืนความสงบหลัง "กฎอัยการศึก"

หลังประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกเพียงชั่วข้ามคืน ปฏิบัติการทลายคลังแสงของผู้ไม่หวังดีที่ใช้อาวุธสงครามก่อเหตุสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมืองจึงเริ่มขึ้น โดยทหารได้สนธิกำลังกับตำรวจบุกตรวจสอบตามแหล่งที่มีเบาะแสว่าคนร้ายใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อนอาวุธสงครามในหลายจุดทั้งในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในภาคกลาง ซึ่งจากการขยายผลพบว่าอาวุธที่พบมีที่มาจากเครือข่ายเดียวกัน

การติดตามหาเบาะแสของผู้ที่ใช้อาวุธก่อเหตุรุนแรงทั้งในกรุงเทพมหานครและในจังหวัดที่มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นมาระยะหนึ่ง โดยกองทัพบกได้มอบหมายให้ทหารชุดปฏิบัติการพิเศษชุดหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งได้ส่งสายเข้าไปหาข่าวจากกลุ่มบุคคลที่นิยมใช้ความรุนแรง เพื่อแกะรอยเส้นทางการเข้ามาของอาวุธ สถานที่จัดเก็บ รวมถึงเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทั้งหมด

ทหารชุดปฏิบัติการพิเศษชุดนี้มีการติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ที่นิยมใช้ความรุนแรงซึ่งพบว่ามีอยู่หลายกลุ่มแต่มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีนักการเมืองหลายคนเข้าไปมีส่วนรู้เห็น ซึ่งข้อมูลด้านการข่าวดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้นภายหลังจากมีการจับกุมอาวุธสงครามได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ จ.นครนายก

การขยายผลพบว่าคนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธสงคราม ซึ่งชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เคยล่อซื้อปืนอาร์ก้าได้ 2 กระบอก และจับกุมคนร้ายเอาไว้ได้ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อเร็วๆ นี้

ข้อมูลการสอบสวนผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามที่ตำรวจได้ ตรงกันกับข้อมูลด้านการข่าวของทหาร ว่าที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 8 ต.ชอนสรเดช อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี เป็นแหล่งซุกซ่อนอาวุธสงคราม ซึ่งมีการนำมาใช้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครระหว่างที่มีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง ทหารและตำรวจจึงสนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังนี้ พบว่า เป็นของนายเชาว์วัฒน์ ทองเผือก หรือ นวย อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นอดีตทหารพรานมีความชำนาญในการประกอบระเบิด

การตรวจค้นครั้งนี้พบปืนอาก้า 1 กระบอก พร้อมกระสุน เครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 จำนวน 800 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 11 มม. 156 นัด เครื่องกระสุนปืนเอเค 47 จำนวน 88 นัด เครื่องกระสุนปืนคาร์บินขนาด 30 จำนวน 60 นัด วัตถุระเบิดเอ็ม 18 เอ 1 จำนวน 1 ลูก เครื่องวัตถุระเบิด ทีเอ็นที น้ำหนัก 1 ออนด์ พุพวงกลม จำนวน 11 รูป วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ ทำด้วยโลหะ จำนวน 3 ลูก วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ กล่องเหล็กจำนวน 1 ลูก วัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมบ์ พลาสติกจำนวน 5 ลูก

"อาวุธเป็นของนายชัชชาญ และนางจันทนา สองสามีภรรยาซึ่งเป็นแนวร่วมผู้ชุมนุมนำมาฝากไว้ และว่าจ้างให้ผมประกอบวัตถุระเบิดเพื่อจะนำไปใช้ก่อความไม่สงบในกรุงเทพฯ ซึ่งได้ส่งมอบระเบิดไปแล้ว 1 ชุด แต่ไม่ทราบว่านำไปก่อเหตุที่ใด อาวุธที่เหลือยังเอาไปไม่หมดจึงนำไปฝังดินไว้ที่หลังบ้านตั้งแต่กลางเดือนเมษายน" นายเชาว์วัฒน์ สารภาพหลังถูกจับกุม

หลังการตรวจค้นบ้านพักอดีตทหารพรานรายนี้ ทหารและตำรวจ ได้ขยายผลเข้าตรวจค้นหอพักแห่งหนึ่งใน ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร หลังจากสืบทราบว่า น.ส.จันทนา วรากรสกุลกิจ บุคคลที่นายเชาว์วัฒน์ให้การซัดทอดพักอาศัยอยู่ในหอพักแห่งนี้

จากการตรวจค้นพบอาวุธสงคราม จำนวนมาก อาทิ ปืนเอเค47(พับฐาน) 1 กระบอก ซอง 1 ซอง พร้อมกระสุน 777 นัด ปืนไรเฟิล 1 กระบอก พร้อมกล้องส่อง 2 พร้อมซอง 2 ซอง กระสุนในซองพร้อมยิง 38 นัด เครื่องยิงเอ็ม79 จำนวน 1 กระบอก พร้อม ลูกกระสุน จำนวน 9 นัด ปืนเอ็มพี 1 กระบอก พร้อมซอง 3 ซอง ,กระสุน 48 นัด ปืนคาร์บิน พร้อมกระสุน 154 นัด ปืนเอ็มพี 4 พร้อมกระสุน 275 นัด ปืนพกสั้น (ดาวแดง) วิทยุไอคอมจำนวน 1 เครื่อง ระเบิดแสวงเครื่อง (ยังไม่ใส่ดินปืน) จำนวน 8 ลูก 1 ระเบิดขว้าง 3 ลูก ดินระเบิด 120 ขวด มีดสั้น 1 เล่ม คัตเตอร์ 1 เล่ม เกราะอ่อน 1 ตัว ผ้าพันคอของผู้ชุมนุมนปช. บัตร Staff นปช.รวมพลคนประชาธิปไตย และบัตรการ์ด นปช. หมายเลข 3084 อีกด้วย

ข้อมูลด้านการข่าวของทหารพบว่า อาวุธที่ยึดได้เป็นเพียงบางส่วนที่คนกลุ่มนี้มีอยู่ในครอบครอง ซึ่งอยู่ระหว่างขยายผลตรวจค้นเป้าหมายอีกหลายจุดในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ระยอง สระแก้วและชลบุรี ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งเก็บอาวุธของคนกลุ่มนี้ ซึ่งการขยายผลพบว่าอาวุธสงครามที่ยึดได้เชื่อมโยงถึงกลุ่มผู้ที่มีความเห็นต่างกับกลุ่ม กปปส. โดยบางส่วนถูกนำมาใช้ก่อเหตุร้ายก่อนหน้านี้ ทั้งกรณีระเบิดเอ็ม 79 และระเบิดสังหารแบบ RGD-5 การตรวจสอบของทหารพบข้อมูลว่าเครือข่ายที่ครอบครองอาวุธเหล่านี้เป็นบุคคลใกล้ชิดของนักการเมืองในพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อประสานตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ขณะที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. กำชับให้ตำรวจให้ความร่วมมือกับทหารในการตรวจค้นหาสถานที่เก็บอาวุธที่คนร้ายเตรียมการไว้สำหรับก่อเหตุสร้างสถานการณ์อย่างเต็มที่ รวมทั้งให้เร่งรัดติดตามจับกุมผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ขณะที่ชุดปฏิบัติการพิเศษของทหาร อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า อาวุธที่ยึดได้ โดยเฉพาะระเบิดขนาด 40 มม. ที่ใช้ยิงกับเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 รวมถึงระเบิดสังหาร RGD-5 ที่ยึดได้ในครั้งนี้ เป็นอาวุธล็อตเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองทั้งเมื่อปี 2553 และครั้งล่าสุดหรือไม่

ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุระเบิด กองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า นับตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 2556 ที่มีการชุมนุมมาจนถึงปัจจุบัน เกิดเหตุการณ์ยิง เอ็ม 79 แล้ว 34 ครั้ง จำนวน ประมาณ 55 ลูก ขณะที่การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 มีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 ก่อเหตุ 39 ครั้ง จำนวน 42 ลูก ซึ่งรวมทั้ง 2 เหตุการณ์ เกิดทั้งหมด 73 ครั้ง รวม 76 ลูก ซึ่งสาเหตุล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้แม้แต่คนเดียว