นักวิชาการชี้รัฏฐาธิปัตย์ต้องชอบธรรม

นักวิชาการชี้รัฏฐาธิปัตย์ต้องชอบธรรม

"สติธร"ย้ำรัฏฐาธิปัตย์ต้องชอบธรรม ได้รับการยินยอมจากปวงชนชาวไทย

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการจากสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์ทาง NOW TV ช่อง 26 ว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็น "รัฐ" คือสิ่งบ่งชี้ว่าใครคือ "รัฏฐาธิปัตย์" หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใครเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ผู้นั้นคือรัฏฐาธิปัตย์

สำหรับประเทศไทย รัฐธรรมนูญมาตรา 3 บัญญัติเอาไว้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย คำว่า "ปวงชนชาวไทย" ในที่นี้เป็นพหูพจน์ คือไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทยทั้งหมด ประชาชนที่อยู่ในรัฐนี้ ฉะนั้นความเป็นเจ้าของจึงไม่สามารถแยกได้ว่าของใคร แต่เป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของทุกคน ฉะนั้นประชาชนชาวไทยก็คือ "รัฏฐาธิปัตย์"

อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญมาตรา 3 ไม่ได้จบแค่นั้น ยังมีบทบัญญัติต่อว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล

"บทบัญญัติในส่วนนี้ทำให้เห็นว่าปวงชนชาวไทยกับพระมหากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจแทนในฐานะทรงเป็นประมุข ผ่านทาง 3 องค์กร ฉะนั้นจึงไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะมีกลุ่มคนหรือปวงชนกลุ่มหนึ่งมาอ้างว่าจะใช้อำนาจอธิปไตยตามมาตรา 3 ได้ทันที เพราะมีประโยคต่อไปในรัฐธรรมนูญว่าใครคือผู้ใช้อำนาจนั้นได้"

มีคำถามว่าถ้าฉีกรัฐธรรมนูญหรือเปลี่ยนรัฐธรรมนูญทำได้ไหม ดร.สติธร บอกว่า เหตุการณ์ก็จะเข้าสู่โหมดรัฐประหาร กับปฏิวัติ คือมีกลุ่มบุคคลเข้าไปยึดอำนาจจากผู้แทนปวงชนที่ได้รับเลือกตั้งมาตามระบบ จากนั้นก็เลิกใช้รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ และประกาศรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เป็นการขออำนาจอธิปไตยกลับคืนมา ถ้าขอมาแล้วเก็บไว้กับตัวเอง ใช้เองแต่เพียงกลุ่มเดียว อย่างนี้เรียกว่าปฏิวัติ เพราะเท่ากับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเลย ใครที่มีบทบาทอะไรอยู่ก็ถือว่าหมดสิ้นไป

แต่ที่เรียกว่ารัฐประหาร เพราะกลุ่มคนที่ว่านั้นดำเนินการตามประเพณีการปกครอง เมื่อขออำนาจอธิปไตยคืนมาแล้ว ก็มอบให้องค์พระประมุขเป็นผู้ใช้อำนาจแทนปวงชนอีกครั้งหนึ่งในการแต่งตั้งคนกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา เช่น รัฐบาลเฉพาะกาล สภานิติบัญญัติ หรือการรับรองอำนาจของศาล

"จริงๆ แล้วคำพูดของคุณสุเทพในเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เคยพูดมาก่อนหน้านั้นในเรื่องรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เพียงแต่เป็นการเลือกใช้คำที่หนักแน่นมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น ในสถานการณ์การชุมนุมที่คนจำนวนไม่น้อยเริ่มคิดว่าจะเอาอย่างไรกันต่อ เพราะแสดงพลังหลายรอบแล้วแต่ยังไม่ชนะ จะทำอะไรก็ทำเสียที คุณสุเทพจึงอาจจะโยนหินถามทางก็ได้ หรือเป็นคำตอบเบื้องต้นของคนที่ตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรกันต่อดีพวกเราก็ได้"

ดร.สติธร วิเคราะห์ต่อว่า หลังสงกรานต์มีการประกาศว่าเป็นการต่อสู้ยกสุดท้าย แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะถูกกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง ประเด็นก็จะย้อนกลับไปที่หลักการเบื้องต้น คือ อำนาจอธิปไตยนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว คือปวงชนชาวไทย ใครจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์เพื่อใช้อำนาจแทนปวงชน ต้องได้รับความยินยอมก่อน เพราะลักษณะที่สำคัญของอำนาจอธิปไตย คือต้องเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใครจะมาโต้แย้งไม่ได้ ทุกคนต้องยอมรับ ถ้าเผื่อมีคนจำนวนมหาศาลออกมาต่อต้าน ความชอบธรรมที่จะบอกว่าตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็คงไม่มี

นอกจากนั้นความเด็ดขาดจะพ่วงกับคำว่า อำนาจอธิปไตยต้องใช้ได้เป็นการทั่วไป บังคับใช้กับทุกคน แบ่งแยกไม่ได้ ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์กรุงเทพฯจะใช้แบบหนึ่ง รัฏฐาธิปัตย์เชียงใหม่ จะใช้คนละแบบ อย่างนี้ไม่ได้ ฉะนั้นต้องสร้างการยอมรับขึ้นมาก่อนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการอ้างว่าคนกลุ่มนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว และจะดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินในนามของปวงชนชาวไทย